กว่าจะมาเป็นเนติบัณฑิต

นายอิทธิมนต์ สุวรรณวิภากร (โอม) มหาวิทยาลัยทักษิณ

                นับแต่กระผมได้รับการติดต่อจากพี่ๆผู้ทำเว็บไซด์ให้ส่งบทความเรื่องการเรียนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จเป็นเนติบัณฑิต กระผมบอกได้คำเดียวเลยว่าคิดหนักทันทีเพราะกระผมไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไร นั่งดูบทความของพี่ๆคนอื่นๆอยู่นานหลายวัน แต่อย่างไรก็ตามกระผมก็ขอเล่าเป็นเรื่องราวที่กระผมได้ทำในชีวิตประจำวันจนกระทั่งเรียนจบเป็นเนติบัณฑิตก็แล้วกัน

แรกเริ่มที่มาเรียนกฎหมาย

               กระผมชื่อนายอิทธิมนต์ สุวรรณวิภากร เดิมแล้วนั้นกระผมมีความตั้งใจว่าหลังจากสำเร็จการศึกษามัธยมต้นกระผมจะไปเรียนวิทยาลัยเทคนิค(หาดใหญ่) เพราะบิดาของกระผมนั้นทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตั้งใจว่าจะเรียนเกี่ยวกับช่างไฟฟ้า แต่ก็อย่างว่านะครับในช่วงมัธยมต้นนั้นกระผมเป็นเด็กที่มีนิสัยเกเร รักสนุก ไม่ชอบที่จะเรียนในสิ่งที่ตนเองถูกบังคับให้เรียนโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งในที่สุดแล้วการเรียนทั้งสามชั้นปีต้องมีเกรดศูนย์ติดมาในใบ ร.บ. ด้วยทุกครั้ง ครั้งหนึ่งนั้นกระผมโดนบิดาตบในห้องตอนที่พาท่านไปรับใบ ร.บ. และนั่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้กระผมต้องหันเหชีวิตไปตามที่บิดาขีดเส้นเอาไว้ กระผมเรียนต่อมัธยมปลายในสาขาไทย – สังคม จนจบ และก็เข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ ซึ่งบิดาของผมเป็นผู้ขีดเส้นเอาไว้ให้เรียนต่ออีกเช่นกัน แรกทีเดียวนั้นกระผมคิดว่าทำไมบิดาของผมไม่มาเรียนซะเองจะมาบังคับกันทำไม ในช่วงเวลานั้นกระผมก็มีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควรตั้งใจอยากจะค้าขายจึงตั้งใจที่จะเรียนต่อในทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่บิดาท่านก็ตอบกระผมคำเดียวว่า “ถ้าไม่เรียนกฎหมายมึงก็หาเงินเรียนเอาเอง” สุดท้ายแล้วกระผมที่ถือไพ่ด้อยกว่าบิดาก็ต้องทำตนเป็นสนลู่ลม เข้าเรียนไปตามที่บิดาท่านต้องการ

ความคิดที่เปลี่ยนไป

                เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วปาริชาต มหาวิทยาลัยทักษิณ กระผมซึ่งมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเป็นลูกของลุงกระผมแต่เนื่องจากลุงกระผมท่านเสียชีวิตกะทันหัน ป้ากระผมก็ไปมีสามีใหม่ พี่ชายจึงได้มาอยู่ร่วมชายคาหลังเดียวกันกับกระผม พี่ชายของกระผมเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้กระผมเปลี่ยนแนวความคิดเพื่อมาศึกษากฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่าพี่ชายของกระผมนั้นติดยาเสพติด ในช่วงแรกเป็นแค่ผู้เสพ แต่ต่อมาก็พัฒนามาเป็นผู้ค้า ในที่สุดแล้วพี่ชายของกระผมก็ได้รับตั๋วเที่ยวพิเศษไปพักตากอากาศในเรือนจำ ในช่วงนี้กระผมซึ่งเป็นหลานชายในตระกูลก็พลอยโดนร่างแหไปด้วย มักจะได้ยินผู้อื่นพูดเสมอว่า “ไอโอม(ตัวกระผมเอง)คงไม่ได้ดีซักเท่าไร” ประกอบกับว่าบิดาของกระผมท่านถูกสบประมาทจากคนข้างบ้านก็พาลมาว่ากระผม “โอมเห็นลูกคนเลี้ยงหมูเค้ายังเรียนได้ดีเลย มึงอยู่สบายแล้วทำไมยังเหลวไหล”  นั่นแหละครับกระผมก็เริ่มปัดขี้ฝุ่นบนปกหนังสือตั่งหน้าอ่านหนังสืออย่างเป็นจริงเป็นจัง เข้าเรียนทุกคาบถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่ขาดเรียนเป็นอันขาด

เทคนิคการอ่านหนังสือ

                เป็นที่รู้กันว่าการเรียนนิติศาสตร์นั้นไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือได้ เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดและน่าเบื่อที่สุดที่ชีวิตกระผมเจอในช่วงที่เรียนนิติศาสตร์ กระผมมักจะนั่งเซ็งชีวิตอยู่คนเดียวเสมอ จนในที่สุดเรื่องก็รู้ถึงแม่กระผม ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า แม่กระผมท่านไปซื้อนิทานอีสปมาให้กระผมอ่านเป็นชุดๆ ซื้อแฮรี่พอตเตอร์ชุดใหญ่มาให้กระผมอ่าน มันเป็นเวลาที่กระผมรู้สึกว่าการอ่านนิยายมันก่อให้เกิดโลกส่วนตัวของกระผม แต่ผลพลอยได้คือกระผมซึมซาบสมาธิเข้ามาในจิตใจมากขึ้นทุกทีๆ กลายเป็นผู้ที่ติดการอ่านไปโดยปริยาย นั่นก็เพราะว่าเวลาที่อ่านจบตอนก็อยากจะรู้ตอนต่อไป เวลาอ่านหนังสือเรียนก็เลยติดนิสัยที่ว่าจบบทแล้วบทต่อไปจะเป็นอย่างไรหนอ ทุกวันนี้กระผมซื้อตู้เก็บหนังสือมาไว้ที่ห้อง หนังสือที่ควรอ่านกระผมก็ซื้อมาอ่าน อาทิเช่น สามก๊ก ข่งชิว(ขงจื้อ) ผู้ชนะสิบทิศ และที่แน่ๆก็คือหนังสือเรียน ตอนนี้หนังสือกระผมล้นตู้ กระผมก็วางไว้ตามมุมห้อง กลางห้อง อาจจะเรียกว่าห้องรกก็ได้ สุดท้ายแล้วในเรื่องการอ่านนี้กระผมก็เลยบอกกับตัวเองว่าต้องรักที่จะอ่านเพราะถ้าใจรักจะทำให้ไม่เบื่อ อ่านเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ อ่านให้เข้าใจ แม้ในหนึ่งวันจะอ่านบ้างเล็กน้อยก็ถือว่าอ่าน

ไม่รู้ก็ให้ถาม มีวิชาก็อย่าขี้เหนียว

                กระผมเชื่อว่าการเรียนนิติศาสตร์นั้นทุกคนที่เรียนต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการ “งง” มึนๆ ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน ที่อาจารย์สอน บอกได้เลยครับว่าวิธีแก้ที่กระผมทำเสอมเวลาเกิดอาการเช่นนี้คือ “ถาม” ก็ถามอาจารย์ผู้สอนนั่นแหละครับดีที่สุด กระผมไม่อายหรอครับที่จะถามเพราะถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ เคยมีครั้งหนึ่งที่ไปนั่งรออาจารย์กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วกะว่าจะเข้าไปถาม แต่ท่านกลับนั่งคุยกับอาจารย์อีกท่านหนึ่งอยู่นาน กระผมมีอาการหงุดหงิดเหมือนกัน แต่ก็ตัดสินใจที่จะรอ (ชั่วโมงครึ่ง) เพราะการรอก็เป็นการฝึกความอดทนอย่างหนึ่ง และหากไม่รอกระผมก็คงจะไม่ได้ถาม ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้เรื่องแน่นอน คนปกติมักจะอายที่จะถามเพราะกลัวคนอื่นหาว่าโง่ แต่กระผมคิดตรงข้ามครับกระผมไม่อายที่จะถามเพราะกระผมไม่กลัวคำติฉินนินทาของผู้อื่น คนที่ไม่ถามนั่นแหละที่เป็นคนโง่เพราะปล่อยโอกาสที่จะถามไปเสียเปล่าๆ และก็จะเป็นคนที่ไม่เข้าใจไม่รู้จริงต่อไป เวลาที่อาจารย์เปิดโอกาสให้ถามในชั้นเรียน ถ้ากระผมสงสัยกระผมก็จะถาม เน้นอีกครั้งครับว่าไม่ต้องอาย เราเสียค่าเทอมแล้วก็ต้องเอาเสียให้คุ้ม

               กระผมโชคดีมากครับที่เพื่อนๆที่คบหาในช่วงนี้รักเรียนเป็นหลัก แต่ก็รักสนุกประสมปนกันไป ก่อนที่จะสอบหนึ่งเดือนพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผมจะมารวมตัวกันหาเนื้อหา หาหัวข้อที่สำคัญ แล้วจะนำมาแลกเปลี่ยนความรู้กันใครรู้อะไรก็บอก ใครสงสัยอะไรก็ถาม มีสรุปอะไรดีๆก็ถ่ายเอกสารแจกกัน นับว่าได้ผลดีทีเดียวครับที่จะช่วยกันฉุดดึงเพื่อนฝูงให้ก้าวไปพร้อมกัน ทำนองว่าทั้งเราทั้งนายเข้าใจตรงกันในเนื้อหา ประหยัดเวลาอ่านหนังสือไปเยอะครับ กระผมถือข้อคิดที่ว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้” มีอะไร รู้อะไร ก็บอกกล่าวกันเพราะในที่สุดแล้วเพื่อนเรามีอะไรเขาก็จะให้เรากลับมาเอง แต่ถ้าเขาไม่ให้กลับมากระผมก็ไม่เคยคิดน้อยใจ เพราะคนในสังคมมีหลายแบบมันเป็นสัจธรรมที่เราต้องยอมรับ แต่ถ้าเราอยากจะให้สังคมดีเราก็ต้องเริ่มที่ตัวเรา

การตอบข้อสอบ

               ไม่ว่าจะเป็นในระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับเนติบัณฑิต กระผมยึดหลักสองข้อในการตอบ ข้อแรกคือกระผมระลึกเสมอว่าผู้ที่อ่านคำตอบที่กระผมเขียนไม่ใช่ผู้รู้กฎหมาย ซึ่งจะทำให้กระผมต้องอธิบายอย่างมีเหตุนำหน้าและมีผลมารองรับตามหลังโดยจะต้องมีหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงเป็นพื้นฐาน ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่าคนอ่านจะอ่านคำตอบของเรารู้เรื่อง ข้อสองเขียนให้กระชับได้ใจความ ได้ใจความในที่นี้คือเขียนเฉพาะที่โจทย์ถาม อะไรไม่ถามกระผมก็ไม่ตอบ คล้ายๆว่าศาลจะไม่พิพากษาเกินคำขออะไรประมาณนี้  ส่วนสำนวนความจะเขียนให้สละสลวยอย่างไรนั้นมันก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน เราไม่จำเป็นต้องทำให้เหมือนคนอื่นหรอกครับ เป็นตัวของตัวเองเห็นความสำคัญในตัวเอง เพราะกระผมเชื่อว่าเราทุกคนเราต้องมีดีอยู่ในตัวเองครับ

การดูแลตัวเอง

               เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดครับกองทัพต้องอิ่มท้อง โห่ร้องเสียงสดใส ร่างกายไร้สิ่งรบกวน กระผมจะไม่นำการดูแลตัวเองมาแนะนำ เพราะแต่ละคนมีชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน  กินก็ต่างกัน มีเวลาว่างก็ต่างกัน แม้แต่ตื่นนอนก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ให้ตนเองมีความสุขกับการใช้ชีวิต กระผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างรู้ว่าสิ่งใดที่มีประโยชน์กับร่างกายและจิตใจ เวลาใดควรทำอะไร อย่ามองว่ากระผมบ้านิยายเลยนะครับในตำราพิชัยสงครามนั้นซุนหวู่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “การรบนั้นไพร่พลต้องมีจิตใจห้าวหาญ” เพราะฉะนั้นก่อนสอบเราก็ต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองอย่าไปกลัวข้อสอบ คิดซะว่ามันก็เป็นเพียงแค่ตัวอักษร ตัวอักษรมีหรือที่จะชนะคนเขียนตัวอักษร เรื่องการดูแลร่างกายก็เช่นกัน เราก็โตๆกันแล้วรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งใดเป็นคุณอนันต์หรือโทษมหันต์ สุดท้ายแล้วกระผมก็ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าเตรียมตัวและใช้ชีวิตให้มีความสุขและเป็นประโยชน์ ตัวของเราก็มีแต่เราที่จะดูแล ไม่มีใครที่จะมาดูแลเราได้ดีเท่ากับเราดูแลตัวเอง

               กระผมขอขอบพระคุณน้าสิด ที่ให้โอกาสกระผมได้มาแสดงมุมมอง ณ ที่นี้  ขอขอบพระคุณพี่ๆทีมงานอื่นที่อยู่เบื้องหลังแต่มิได้กล่าวถึง และขออุทิศสิ่งดีงามที่ได้ทำให้แก่ บิดา มารดา ผู้ส่งให้เรียน และมหาวิทยาลัยทักษิณ ตลอดจนเนติบัณฑิต ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กระผมมีวันนี้ ขอบคุณครับ

 

บทความ จากรุ่นพี่เนติบัณฑิต