ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
ยกหูถึง "พี่ตุ๊กตา"
เรื่องที่ 59 ยักยอก กับ สิทธิยึดหน่วง ผิดสัญญาทางแพ่ง มีทางออกอย่างไร
วันนี้ 3 ธันวาคม 2556 ประชาชนคนไทย ตัวจริง เสียงจริง ที่ไม่ใช่มวลชน ของ ฝ่ายระบอบทักษิณ หรือ ระบอบสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่าง งง ไปตามๆ กัน เมื่อคืนนี้ กำนันสุเทพ แถลงข่าวจากศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะว่า จะนำมวลมหาประชาชน ไปยึด กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งมี พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง "มีวันนี้ เพราะพี่ให้" เป็นผู้บัญชาการ ดูแลพื้นที่ ไม่ให้ม็อบยึดสถานที่ราชการ โดยเฉพาะ ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ ทีวี เสนอข่าวว่า เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ โปรยใบปลิว หมายจับ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อหากบฏ และบุกรุกสถานที่ราชการ แต่ต้องแปลกใจ เมื่อ คำรณวิทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า จะยอมให้ม็อบเข้ามา จะทำอะไรก็ทำ
วันนี้ บ่ายสอง ม็อบเข้าไปถ่ายรูป ที่ทำเนียบรัฐบาล และจับมือกับตำรวจ ต.ช.ด. ชุดคุมฝูงชน ขณะที่ เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พี่ตาล สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แถลงว่า จะจัดงานเฉลิมพระชนม์พรรษา วันที่ 5 นี้ อย่างยิ่งใหญ่ พรุ่งนี้จะจัดกิจกรรม Big Cleaning Day ตั้งแต่ 8 โมงเช้า
สรุปว่า นักการเมืองทะเลาะกัน ดึงประชาชน มวลชนฝ่ายตัวเอง มาเคลื่อนไหว เพื่อล้มฝ่ายตรงข้าม แล้วเลิกกัน แบบดื้อๆ ประชาชนคนไทยตัวจริง เดือดร้อนไปตามๆ กัน
Thai Law Consult ได้รับอีเมล์สอบถามเรื่อง ยักยอก กับ สิทธิยึดหน่วง มีทางออกอย่างไร พี่ตุ๊กตา ทนาย ณุมาพร พัฒนพงศธร จึงร่วมกับ ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ , ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ เรียบเรียงบทความนี้ เป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชน
หลักกฎหมาย ยักยอกทรัพย์ ป.อ. 352
มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พี่ตุ๊กตา ขออธิบายดังนี้
องค์ประกอบภายนอก
- ผู้ใด
- ครอบครองทรัพย์สินซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
- เบียดบังเอาทรัพย์นั้น เป็นของตนเอง หรือบุคคลที่สาม
องค์ประกอบภายใน
- เจตนาธรรมดา (ประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผล)
- เจตนาพิเศษ "โดยทุจริต"
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ตั้งข้อสังเกตดังนี้
- ผู้มอบหมายให้ครอบครองทรัพย์สิน มิได้หมายความเฉพาะเจ้าของทรัพย์เท่านั้น ผู้ซึ่งศาลแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก เป็นผู้มีอำนาจมอบหมายให้จัดการมรดก เป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดก ก็เป็นผู้ยักยอกได้ (ฎีกาที่ 3525/2528
- การยักยอกอสังหาริมทรัพย์ก็มีได้ (ฎีกาที่ 268/2536)
- แต่การที่จำเลยนำที่ดินที่ตนถือกรรมสิทธิ์แทนเจ้าของที่ดิน ไปแบ่งแยกเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย แล้วขายฝากผู้อื่น ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 216/2519)
ทนายเอก ขัตติยะ นวลอนงค์ ตั้งข้อสังเกตดังนี้
- จำเลยยึดหน่วงทรัพย์สินที่ครอบครองไว้ เพื่อเจรจาต่อรองค่าเสียหายต่อกัน ถือว่าไม่มีเจตนาเบียดบัง ไม่ผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 872/2547)
- ความผิดฐานยักยอก มิใช่ความผิดเฉพาะตัวของผู้ครอบครองทรัพย์เท่านั้น บุคคลอื่นอาจร่วมกระทำผิดกับผู้ครอบครองได้ (ฎีกาที่ 3595/2532 ป.)
- จำเลยขอสลากกินแบ่งรัฐบาลจากผู้เสียหายไปตรวจรางวัล แล้วนำไปมอบให้ธนาคารรับเงินแทน โดยเอาเงินเข้าบัญชีของตน เป็นการยักยอกสลากกินแบ่งรัฐบาลและเงินรางวัลด้วย (ฎีกาที่ 1330/2539)
- ผู้ที่เป็นตัวแทนขายสินค้าให้เจ้าของ ถือว่ามีสิทธิครอบครองในสินค้าหรือเงินที่ขายได้ ดังนี้ ถ้าตัวแทนเบียดบังเอาสินค้าหรือเงินที่ขายได้เป็นของตน มีความผิดฐานยักยอก (ฎีกา 4181/2542)
- แต่ถ้าเจ้าของสินค้ามอบสินค้าให้จำเลยไปขาย เมื่อขายได้แล้วจำเลยต้องนำเงินมาให้เจ้าของสินค้าตามราคาที่กำหนด โดยจำเลยอาจจะขายในราคาสูงกว่าก็ได้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับเงินส่วนที่เกินนั้น เช่นนี้ จำเลยไม่ใช่ตัวแทนขายสินค้าในนามของเจ้าของ เงินที่ขายได้จึงตกเป็นของจำเลย เมื่อจำเลยไม่คืนสินค้าหรือชำระราคาให้เจ้าของสินค้า จึงเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 4932/2543)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2547
ผู้เสียหายว่าจ้างจำเลยซึ่งเปิดร้านรับจ้างทำทองคำรูปพรรณ โดยนำพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำมาให้ทำกระจกปิดด้านหน้าและด้านหลังตลับพระทองคำ แต่จำเลยทำเศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น จึงตกลงจะใช้ค่าเสียหายด้วยการเลี่ยมพระองค์อื่นให้ ซึ่งผู้เสียหายได้ให้พระองค์อื่นมาให้เลี่ยมอีก 2 องค์ จำเลยเลี่ยมพระให้ผู้เสียหายเป็นค่าเสียหายไปแล้ว 1 องค์ ภายหลังจำเลยเห็นว่าค่าเสียหายสูงไป ต้องการตกลงค่าเสียหายกันใหม่ด้วยการยึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้ เพื่อหักหนี้กับค่าเลี่ยมพระองค์ที่ 2 ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเพียงเจตนายึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้ เพื่อเจรจาต่อรองกันใหม่ เกี่ยวกับค่าเสียหายที่เศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น หาได้มีเจตนาเบียดบังไว้เป็นของตนเองไป
พี่ตุ๊กตา ตั้งข้อสังเกตดังนี้
- การมอบหมายให้จำเลยนำเงินไปชำระหนี้หรือนำเงินไปฝากธนาคาร ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองเงินดังกล่าว เมื่อจำเลยเบียดบังเงินไป เป็นความผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 617/2536)
- นำสินค้าไปขายแทนเจ้าของ รับเช็คค่าสินค้า แล้วนำเช็คดังกล่าวไปขายนำเงินไปใช้ส่วนตัว ดังนี้ เป็นการยักยอกเช็คไม่ใช่ยักยอกเงิน (ฎีกาที่ 2419/2529)
- กรณีเช่าซื้อทรัพย์สิน ถือว่าผู้เช่าซื้อครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อ การที่ผู้เช่าซื้อเอาทรัพย์สินดังกล่าวไปขาย เป็นยักยอกทรัพย์ (ฎีกาที่ 6540/2548)
- การนำทรัพย์ที่ครอบครองไปจำนำ ก็เป็นการเบียดบัง เป็นยักยอกทรัพย์นั้น แต่เงินที่ได้จากผู้รับจำนำ ไม่ใช่เงินที่ตกเป็นของโจทก์ จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกเงินนั้น (ฎีกาที่ 457/2503 ป.)
- จำเลยรับฝากเงินเพื่อไปซื้อของแต่กลับไม่ยอมซื้อของให้ และปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงิน จำเลยผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 833/2535)
ทนายเตี้ย สุภิต บุดสีดี ตั้งข้อสังเกตดังนี้
- ผู้รับจ้างซ่อมรถยนต์ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ที่ซ่อมนั้น หากเบียดบังเอารถยนต์หรืออะไหล่รถยนต์ไป เป็นความผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 5838/2548)
- ผู้ยืมทรัพย์ของผู้อื่น เป็นผู้ครอบครองทรัพย์ที่ยืม เมื่อไม่ยอมคืนให้ เป็นความผิดฐานยักยอก (ฎีกาที่ 598/2548)
คำถาม
- นิติบุคคล อาคารชุด คอนโดหรู แถวสีลม จ้างบริษัทบิ๊ก บริหารอาคาร กำหนดสัญญาจ้างปีต่อปี ค่าจ้างเดือนละ 3 แสนบาท
- กำหนดสิ้นสุดสัญญาจ้าง ปีที่ 3 วันที่ 31 ตุลาคม 2555
- กรรมการนิติบุคคลอาคารชุด คอนโดหรู มีมติเลิกจ้าง บริษัทบิ๊ก และแจ้งให้ทราบว่า เลิกสัญญา ตั้งแต่วันที่ 31 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป ขอให้ส่งมอบ เอกสารการบริหารอาคาร คู่มือช่าง ระบบปรับอากาศ ไฟฟ้า งานระบบ ทั้งหมด ก่อนวันที่ 15 มิถุนายน 2555
- บริษัทบิ๊ก ไม่ส่งมอบคู่มือ ระบบไฟฟ้า และพิมพ์เขียว โครงสร้างอาคาร อ้างว่า ยึดหน่วงไว้ เนื่องจาก คอนโดหรู ไม่จ่ายตังค์ค่าจ้าง 2 เดือนสุดท้าย
- บริษัทบิ๊ก ถาม ThaiLawConsult ว่า คอนโดหรู จะฟ้องบริษัทบิ๊ก เป็นคดีอาญา ข้อหา ยักยอก ได้หรือไม่
พี่ตุ๊กตา ขอตอบดังนี้
- ฎีกาที่ 572/2547 มีสิทธิยึดหน่วง ไม่ผิดยักยอก
- ดูอายุความฟ้องคดีด้วยนะคะ ตาม ป.อ. มาตรา 356 ยักยอกเป็นความผิดอันยอมความได้ จึงต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน ตาม ป.อ. มาตรา 96
มาตรา 96 ภายใต้บังคับ มาตรา 95 ในกรณีความผิดอันยอมความ ได้ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความ ผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ มาตรา 97 ในการฟ้องขอให้กักกัน ถ้าจะฟ้องภายหลังการฟ้อง คดีอันเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้กักกัน ต้องฟ้องภายในกำหนด หกเดือนนับแต่วันที่ฟ้องคดีนั้น มิฉะนั้น เป็นอันขาดอายุความ
พี่ตุ๊กตา ขอนำฎีกาเต็มมาลงไว้นะคะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2547
ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง, 352 วรรคแรก
ผู้เสียหายว่าจ้างจำเลยซึ่งเปิดร้านรับจ้างทำทองคำรูปพรรณ โดยนำพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำมาให้ทำกระจกปิดด้านหน้าและด้านหลังตลับพระทองคำ แต่จำเลยทำเศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น จึงตกลงจะใช้ค่าเสียหายด้วยการเลี่ยมพระองค์อื่นให้ ซึ่งผู้เสียหายได้นำพระองค์อื่นมาให้เลี่ยมอีก 2 องค์ จำเลยเลี่ยมพระให้ผู้เสียหายเป็นค่าเสียหายไปแล้ว 1 องค์ ภายหลังจำเลยเห็นว่าค่าเสียหายสูงไปต้องการตกลงค่าเสียหายกันใหม่ด้วยการยึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้เพื่อหักหนี้กับค่าเลี่ยมพระองค์ที่ 2 ดังนี้แสดงว่าจำเลยมีเพียงเจตนายึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้เพื่อเจรจาต่อรองกันใหม่เกี่ยวกับค่าเสียหายที่เศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น หาได้มีเจตนาจะเบียดบังไว้เป็นของตนไม่
________________________________
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาตลับพระทองคำจำนวน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 2 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาตลับพระทองคำจำนวน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ผู้เสียหายว่าจ้างจำเลยซึ่งเปิดร้านรับจ้างทำทองคำรูปพรรณให้เลี่ยมพระแก้วสีเหลืองด้วยทองคำ 1 องค์ ในราคา 15,000 บาท ผู้เสียหายได้รับพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำไปแล้ว ต่อมาผู้เสียหายนำพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำดังกล่าวกลับมาให้จำเลยทำกระจกปิดด้านหน้าและด้านหลังตลับพระทองคำปรากฏว่าจำเลยทำเศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่นและตกลงจะใช้ค่าเสียหายด้วยการเลี่ยมพระองค์อื่นให้ 2 องค์ ต่อมาจำเลยไม่คืนพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำดังกล่าวแก่ผู้เสียหายและเพิ่งคืนเฉพาะพระแก้วสีเหลืองแก่ผู้เสียหาย หลังแจ้งความดำเนินคดีนี้ประมาณ 1 เดือน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ผู้เสียหายชำระราคาตลับพระทองคำแก่จำเลยแล้วหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความว่า ผู้เสียหายเคยนำพระมาให้จำเลยเลี่ยมหลายครั้ง โดยวางมัดจำค่าจ้างครั้งละประมาณ 2,000 บาท ส่วนที่เหลือชำระเมื่อมารับพระพร้อมตลับพระทองคำซึ่งทางร้านจำเลยไม่ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้เกี่ยวกับการว่าจ้างทำตลับพระทองคำพิพาท ผู้เสียหายได้รับพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำและชำระราคาจำนวน 15,000 บาท แก่จำเลยแล้ว ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยและนายไพบูลย์ พิมพ์ชาย สามีจำเลยมาเบิกความว่า ผู้เสียหายมาขอพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำเพื่อนำไปให้เพื่อนดูและปรึกษาว่าควรปิดกระจกด้านหน้าและด้านหลังตลับพระทองคำหรือไม่ การว่าจ้างรายนี้ผู้เสียหายวางมัดจำไว้ 1,000 บาท จำเลยมอบพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำให้ผู้เสียหายไปโดยมิได้เรียกให้ผู้เสียหายชำระราคาก่อนเพราะเชื่อใจผู้เสียหาย เห็นว่า ผู้เสียหายเป็นเพียงลูกค้าธรรมดาคนหนึ่งที่เคยว่าจ้างร้านจำเลยเลี่ยมพระ ไม่ปรากฏว่าสนิทสนมคุ้นเคยเป็นพิเศษแต่อย่างใด เป็นการผิดวิสัยของผู้ประกอบกิจการค้าเช่นจำเลยซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ที่จะยอมมอบสินค้าทองคำรูปพรรณให้ลูกค้าไปโดยไม่มีหลักประกันหรือหลักฐานใดๆ อันอาจเกิดปัญหาพิพาทและตนต้องตกเป็นฝ่ายเสียหายโดยใช่เหตุ เช่น ลูกค้ารับไปแล้วไม่ติดต่อกลับมาอีกหรืออาจอ้างว่าชำระราคาแล้วเป็นต้น ถึงแม้ทองคำรูปพรรณยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ตามสั่งแต่ก็ยังคงมีค่าเป็นทองคำสามารถแลกเป็นเงินได้ในราคาท้องตลาด ประกอบกับหากมีเหตุว่าผู้เสียหายยังมิได้ชำระค่าจ้างและค่าทองคำจริง จำเลยก็คงให้การถึงเหตุนั้นไว้แล้วทันทีในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่จำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวโดยมิได้ให้รายละเอียดเหตุแห่งการปฏิเสธแต่อย่างใดเลย ข้ออ้างของจำเลยในชั้นพิจารณาที่ว่าผู้เสียหายยังไม่ได้ชำระราคาจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง อีกทั้งจำเลยและสามีจำเลยเบิกความตอบศาลถามว่า ถ้าผู้เสียหายรับพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำไปให้เพื่อนดู แล้วผู้เสียหายพอใจแค่นั้นไม่ต้องการทำอย่างไรต่อไป จำเลยก็ไม่ต้องทำอะไรกับตลับพระทองคำนั้นอีก แสดงว่าตลับพระทองคำขณะที่ผู้เสียหายรับไปนั้นเสร็จสมบูรณ์ตามสั่งแล้ว ไม่มีเหตุที่จะนำกลับมา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายชำระราคาตลับพระทองคำพิพาทแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานยักยอกตลับพระทองคำพิพาทหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า หลังจากผู้เสียหายรับพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำที่ว่าจ้างจากจำเลยแล้ว ต่อมาผู้เสียหายนำพระแก้วสีเหลืองพร้อมตลับพระทองคำดังกล่าวกลับมาให้จำเลยทำกระจกปิดด้านหน้าและด้านหลังตลับพระทองคำ ปรากฏว่าคราวนี้จำเลยทำเศียรพระแก้วสีเหลืองหัก ผู้เสียหายและจำเลยตกลงค่าเสียหายกัน โดยจำเลยจะเลี่ยมพระองค์อื่นชดใช้ให้เป็นเงิน 17,500 บาท ซึ่งผู้เสียหายนำพระองค์อื่นมาให้จำเลยเลี่ยมอีก 2 องค์ โดยองค์ที่ 2 จำเลยตีราคาตลับพระทองคำเป็นเงิน 13,500 บาท ซึ่งผู้เสียหายชำระราคาเพียง 7,000 บาท ส่วนอีก 6,500 บาท หักเป็นค่าเสียหายองค์พระแก้วสีเหลือง ต่อมาจำเลยเห็นว่าค่าเสียหายที่ตกลงกันนั้นสูงเกินไป จำเลยจึงยึดตลับพระทองคำสำหรับใส่พระแก้วสีเหลืองไว้เพื่อหักกับค่าเลี่ยมพระองค์ที่ 2 ที่ผู้เสียหายหักจากจำเลย ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยและสามีจำเลยเบิกความว่า ค่าเสียหายทำเศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่นนอกจากซ่อมเศียรพระแก้วสีเหลืองแล้วผู้เสียหายผู้เสียหายเรียกค่าเสียหายอีก 15,000 บาท เท่ากับราคาตลับพระทองคำสำหรับใส่พระแก้วสีเหลืองจำเลยไม่ยินยอมชดใช้ให้ ที่จำเลยไม่คืนตลับพระทองคำพิพาทแก่ผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายไม่ชำระราคาตลับพระทองคำดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยไม่รับเลี่ยมพระองค์อื่นให้ผู้เสียหายอีก เห็นว่า พยานจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยไม่คืนตลับพระทองคำพิพาทแก่ผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายยังมิได้ชำระราคาตลับพระทองคำดังกล่าว โดยจำเลยมิได้กล่าวถึงการชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่จำเลยทำเศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น แล้วตกลงเลี่ยมพระองค์อื่นให้ผู้เสียหายเลย ส่วนผู้เสียหายมีบันทึกเอกสารหมาย จ.1 ที่ทำระหว่างผู้เสียหายกับสามีจำเลยมาแสดงว่าหลังจากจากผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีนี้แก่จำเลย นอกจากสามีจำเลยจะส่งมอบพระแก้วสีเหลืองคืนผู้เสียหายแล้ว ในวันเดียวกันนั้นยังส่งมอบพระหลวงปู่ดุลย์คืนผู้เสียหายด้วย จากพยานหลักฐานดังกล่าวเชื่อว่า มีการตกลงค่าเสียหายเป็นการเลี่ยมพระองค์อื่นให้ ซึ่งผู้เสียหายได้นำพระองค์อื่นมาให้เลี่ยมอีก 2 องค์ การที่ฝ่ายจำเลยคืนพระหลวงปู่ดุลย์เพิ่มกลับมา 1 องค์ แสดงว่าจำเลยเลี่ยมพระให้ผู้เสียหายเป็นค่าเสียหายไปแล้ว 1 องค์ คงขาดค่าเสียหายที่ผู้เสียหายจะหักจากการเลี่ยมพระหลวงปู่ดุลย์อีก 6,500 บาท ภายหลังผู้เสียหาย (ที่ถูก จำเลย) เห็นว่าค่าเสียหายสูงไปต้องการตกลงค่าเสียหายกันใหม่ด้วยการยึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้ เพื่อหักหนี้กับค่าเลี่ยมพระองค์ที่ 2 ซึ่งมีราคาค่าเลี่ยม 13,500 บาท พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเพียงเจตนายึดหน่วงตลับพระทองคำพิพาทไว้เพื่อเจรจาต่อรองกันใหม่เกี่ยวกับค่าเสียหายที่เศียรพระแก้วสีเหลืองบิ่น หาได้มีเจตนาจะเบียดบังไว้เป็นของตนไม่ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าตลับพระทองคำพิพาทเป็นของผู้เสียหาย จึงให้คืนแก่ผู้เสียหาย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาตลับพระทองคำจำนวน 1 อัน ราคา 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
( ชุติมา จงสงวน - ปัญญา ถนอมรอด - วรนาถ ภูมิถาวร )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3595/2532
ป.อ. มาตรา 83, 86, 352, 354
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ไม่ใช่ความผิดเฉพาะตัวของผู้ครอบครองทรัพย์เพียงผู้เดียว ผู้อื่นก็อาจร่วมกระทำความผิดกับผู้ครอบครองในการยักยอกทรัพย์ได้ หากได้ร่วมมือร่วมใจกันกระทำการยักยอกกับผู้ได้รับมอบหมายให้ครอบครองทรัพย์ ข้อที่ว่า ผู้ใดครอบครองทรัพย์นั้น มิใช่คุณสมบัติเฉพาะตัวผู้กระทำ แต่เป็นเพียงองค์ประกอบความผิดในส่วนการกระทำอันหนึ่งเท่านั้น การที่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิใช่ผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนได้ร่วมกับผู้จัดการและสมุห์บัญชีของธนาคารยักยอกทรัพย์ของธนาคาร จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 83แม้จำเลยจะร่วมกระทำผิดกับผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนก็เป็นเหตุเฉพาะตัวผู้กระทำผิดแต่ละคน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ประกอบด้วยมาตรา 86. (วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2532)
________________________________
( นำชัย สุนทรพินิจกิจ - บุญส่ง คล้ายแก้ว - ไมตรี กลั่นนุรักษ์ )
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ Thai Law Consult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา วันที่ 3-12-2556)