Blog categories

Latest posts

รถตู้ ปราจีนบุรี - อนุสาวรีย์ชัย ชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อ
ผู้โดยสารเสียชีวิต ใครต้องรับผิดชอบ

               

                    เมื่อ วานนี้ (26 สิงหาคม 2556) ตอนเช้ามืด มีข่าวด่วนทางทีวีว่า รถตู้โดยสารชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อที่จอดเสียอยู่ข้างทาง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ญาติของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โทรมาปรึกษา Thai Law Consult ว่า ใครบ้างต้องรับผิดชอบ และจะหาทนายจากที่ไหน และจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอย่างไร พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 เห็นว่า อุบัติเหตุรถตู้เกิดขึ้นแต่ละครั้งมีความสูญเสียมาก จึงเรียบเรียงบทความนี้ นำเสนอเป็นความรู้กฎหมายสู่ประชาชนครับ (ขออภัยนะครับ ทนายติดว่าความ และเจรจาหนี้ ที่นัดไว้ก่อนแล้ว 3 เรื่อง เพิ่งพิมพ์เสร็จและออกอากาศวันนี้ 29 สิงหาคม 2556)

 

หลักกฎหมาย

1. ความรับผิดทางอาญา เฉพาะคนขับรถตู้ และ คนขับรถพ่วง 18 ล้อ (ดูตามข้อเท็จจริง จากผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวน)

ป.อ. 59 ว 4.291 ,300 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157 (รายละเอียดโปรดดูในหัวข้อ ทนายจำเลยต่อสู้คดีตามแนวฎีกากันอย่างไร เรื่องที่ 21 คดีรถ TAXI --- ถูกรถแท็กซี่ชน จะฟ้องใครได้บ้าง และเรื่องที่ 15 ขับรถชนคนตาย ทำอย่างไรไม่ติดคุก)

ป.อ. มาตรา 59 วรรค 4     "กระทำ โดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจัก ต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวัง เช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

ป.อ. มาตรา 291     "ผู้ ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท"

ป.อ. มาตรา 300     "ผู้ ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ทบทวน     ป.อ. มาตรา 291 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตาย (Thai Law Consult นำมาจากหนังสือ อาญาพิสดาร เล่ม 1 ปี 2552 ของ อาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์)

  • การที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 ต้องกระทำโดยประมาท และการกระทำโดยประมาทนี้ เป็นผลโดยตรงให้เกิดความตาย (ฎีกาที่ 7143/2544)
  • การกระทำโดยประมาท อาจเกิดจากการงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคท้าย ก็ได้ (ฎีกาที่ 2210/2544)
  • ประมาทร่วมมีไม่ได้ ดังนั้น ถ้ามีผู้กระทำประมาทหลายคน ถือว่าต่างคนต่างกระทำโดยประมาท
  • ถ้าจำเลยขับรถโดยประมาท ผู้ตายกระโดดลงจากรถถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นผลจากการที่จำเลยขับรถโดยประมาท (ฎีกาที่ 1436/2511)
  • ถ้ารถที่จำเลยขับห้ามล้อไม่ดี ต่อมารถชนกันเพราะไม่สามารถหยุดรถได้ทันที เป็นเหตุให้คนตาย จำเลยผิด มาตรา 291 (ฎีกาที่ 1337/2530)
  • จำเลยเพียงไม่มีใบอนุญาตขับรถ หรือขับรถโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น จะถือว่ากระทำโดยประมาทไม่ได้ (ฎีกาที่ 294/2501)

ทบทวน     ป.อ. มาตรา 300 กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามฎีกาที่ 7891/2544
                          |_  และอาจผิด พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157

 

มาตรฐานกลาง หลักประกันการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย

  • คดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน   3 ปี     กำหนดจากระวางโทษจำคุกขั้นสูงไม่เกินปีละ 20,000 บาท
  • คดีระวางโทษจำคุกไม่เกิน                  5 ปี      วงเงินประกันไม่เกิน 100,000 บาท
  • คดีระวางโทษจำคุกไม่เกิน                10 ปี      วงเงินประกันไม่เกิน 200,000 บาท

ดังนั้น กรณีขับรถประมาทชนคนตาย วงเงินประกันตัวเพื่อปล่อยชั่วคราว ไม่เกิน 200,000 บาท

 

คนขับรถพ่วง 18 ล้อ มีความผิดดังนี้ แม้จอดเสียอยู่ข้างทาง ในเวลามืดค่ำแต่เมื่อคนขับไม่เปิดสัญญาณไฟ คนขับจึงมีความผิดฐานประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. 291 และ 300

 

            ทั้งนี้ ตามฎีกาที่ 2210/2544 "แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจุดที่จำเลยจอดรถและเกิดเหตุชนกันอยู่ในไหล่ทาง ด้านซ้ายของถนนในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจรแล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยจอดรถในเวลามืดค่ำโดยไม่ได้เปิดไฟหรือใช้แสงสว่างตามที่กำหนด ในกฎกระทรวงเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่จอดอยู่ จนเป็นเหตุให้ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถคันที่จำเลยจอดทำให้ ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นผลจากความประมาทของจำเลยไม่ว่าจะฟังว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยก็ ตามก็ต้องถือว่าเหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดเพราะความประมาทของจำเลยด้วย จึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่งดเว้นการที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้น หาใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการขับรถของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43(4),157 คงผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

           ความผิดฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้ อื่น แล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา 78 กำหนดให้ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของ ผู้อื่นต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่ หรือไม่ก็ตามแต่ผู้ขับรถที่จะถือว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็น ผู้ขับรถที่กำลังแล่นอยู่ หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดรถอยู่หรือหยุดรถอยู่ไม่จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็น ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78

2. ความรับผิดทางแพ่ง

2.1    ความรับผิดของนายจ้าง หรือเจ้าของรถตู้ และเจ้าของรถพ่วง 18 ล้อ ตาม ป.พ.พ. 425 (โปรดดูในหัวข้อ ทนายจำเลยต่อสู้คดีตามแนวฎีกากันอย่างไร เรื่องที่ 17 คดีลูกจ้างขับรถชนคน นายจ้างรับผิดชอบอย่างไร)

หลักกฎหมาย ความรับผิดของนายจ้าง ป.พ.พ. มาตรา 425    
"นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้าง ในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น"  

นายจ้างกับลูกจ้างนั้น มีความสัมพันธ์กันตามสัญญาจ้างแรงงาน (ป.พ.พ. มาตรา 575) นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างก็แต่เฉพาะในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างกระทำไปในทางการที่จ้างนั้น ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. ลูกจ้างกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น ไม่ใช่ต่อนายจ้าง
  2. ลูกจ้างกระทำละเมิดในระหว่างที่เป็นลูกจ้าง
  3. ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง

การกระทำอย่างไรเป็นละเมิด โปรดดูในละเมิดที่ Thai Law Consult นำมาลงไว้ก่อนนี้แล้ว

  • เมื่อการกระทำของลูกจ้างเป็นละเมิด ผู้เสียหายจะฟ้องทั้งนายจ้างและลูกจ้างให้ร่วมกันรับผิด หรือฟ้องคนใดคนหนึ่งให้รับผิดก็ได้ แล้วแต่จะเลือก อันเป็นสิทธิของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ในการเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้ร่วม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 291

จำ    -     นายจ้างรับผิดเฉพาะมูลหนี้ละเมิด และรับผิดโดยจำกัด, นายจ้างไม่ต้องรับผิดทางอาญา

ThaiLawConsult.com by numaphon@gmail.com Tel: 098-915-0963

   

 

ฎีกาที่ 1137/2533 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำไปในทางการที่จ้างซึ่ง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้อง ร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อ โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 นำรถยนต์บรรทุกน้ำมันเข้าวิ่งรับขนส่งน้ำมันในนามของจำเลยที่ 4 ซึ่ง จำเลยที่ 4 ได้ ผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบ ตาม สัญญาขนส่งน้ำมันระหว่างจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 4กำหนดให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับผิดชอบค่าจ้างคนขับรถ ดังนี้ถือ ได้ ว่ากิจการดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 จึงต้อง ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ด้วย. 

2.2    ความรับผิดของผู้ประกอบการขนส่ง หรือ เจ้าของวินรถตู้ ผู้ประกอบเดินรถร่วม และผู้รับสัมปทาน

เจ้าของวินรถตู้ น่าจะเป็นบุคคลเดียวกับผู้ประกอบเดินรถร่วม หรือผู้ประกอบการขนส่ง
ต้องร่วมรับผิดชอบกับคนขับรถตู้และคนขับรถพ่วง18ล้อ
บขส. คือ ผู้รับสัมปทานเดินรถโดยสาร สายกรุงเทพ-ปราจีน

 

ฎีกาที่ 2905/2532 "ฎีการ่วมกิจการเดินรถกับ ขสมก." จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกิจการเดินรถกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจำเลยที่ 4 การที่จำเลยที่ 2และที่ 3 นำรถยนต์โดยสารเล็กของตนมารับคนโดยสารโดยใช้ตราของจำเลยที่ 4 ติดไว้ข้างรถ ถือได้ว่าเป็นกิจการของจำเลยที่ 4ด้วย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในขณะเกิดเหตุย่อมถือว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 ในขณะเกิดเหตุด้วย จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ต่อโจทก์

 

3. การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันภัย (รายละเอียดโปรดดูในหัวข้อ ทนายจำเลยต่อสู้คดีตามแนวฎีกากันอย่างไร เรื่องที่ 29 ประกันภัยรถยนต์ หลักกฎหมายและฎีกาสำคัญ ซึ่งทีมทนาย ThaiLawConsult ได้นำเสนอไว้แล้ว )

3.1    ภาคบังคับ ตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ

จิตอาสาท่านหนึ่ง จากเว็บไซต์ sobsuan.com ได้สรุปเป็นตารางตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ดังนี้

 

3.2    ภาคสมัครใจ (ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 และ 2) ในคดีนี้ มีข่าวจากเว็บไซด์ คปภ. เกี่ยวกับการเอาประกันภัยและการจ่ายสินไหมทดแทน ซึ่งพี่ตุ๊กตา โทร.098-915-0963 และทีมทนาย Thai Law Consult เห็นว่ามีประโยชน์ต่อการศึกษากฎหมายของประชาชน จึงนำมาลงไว้ดังนี้

 
ประกันภัยคุ้มครองผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ กรณีรถตู้โดยสารพุ่งชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อ ที่บางน้ำเปรี้ยว
26 สิงหาคม 2556   [ จำนวนผู้เปิดอ่าน 416 คน ]  

                   นางสาววราวรรณ เวชชสัสถ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2556 เวลาประมาณ 04.50 น. เกิดอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสายปราจีนบุรี-กรุงเทพมหานคร หมายเลขทะเบียน ฮบ 8901 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนท้ายรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ หมายเลขทะเบียน 70-6551 นครปฐม และตัวพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-6525 นครปฐม บนถนนสายบ้านสร้าง-บางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 7 ราย นั้น

                   สำนัก งาน คปภ. ได้ประสานสำนักงาน คปภ. จังหวัดฉะเชิงเทรา เบื้องต้นทราบว่ารถตู้โดยสาร ได้จัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 3) กับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) รถบรรทุกพ่วง ส่วนหัว ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภัยภาคสมัครใจ (ประเภท 1) และส่วนท้ายทำประกันรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย ดังนี้

                   1. ผู้ประสบภัยเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร ทายาทสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ดังนี้
                           1.1 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 200,000 บาทต่อคน และ
                           1.2 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 3) กรณีไม่มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน หรือกรณีมีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300,000 บาทต่อคน และ 
                           
1.3 ความคุ้มครองการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 50,000 บาทต่อคน

                   2. ผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ได้ดังนี้
                           2.1 ความคุ้มครองจากการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน และค่าชดเชยรายวัน สำหรับผู้ประสบภัยที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล วันละ 200 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 วัน และ
                           2.2 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 3) ได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินความคุ้มครองที่ระบุไว้ใน กรมธรรม์ประกันภัย และ
                           2.3 ความคุ้มครองการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 50,000 บาทต่อคน

                    สำหรับ คนขับรถตู้โดยสาร ได้รับความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคบังคับ เป็นค่ารักษาพยาบาล 15,000 บาท และความคุ้มครองการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 50,000 บาท

                    
รอง เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และในเบี้องต้นทราบว่าเจ้าหน้าที่บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการประสานโรงพยาบาลที่รับรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยเพื่ออำนวยความ สะดวกด้านค่ารักษาพยาบาล และติดต่อทายาทผู้เสียชีวิตเพื่อดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จึงขอให้ประชาชนท่านเจ้าของรถได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการทำประกันภัย รถยนต์ ทั้งประกันภัยรถภาคบังคับ และการประกันภัยภาคสมัครใจ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของรถและผู้ประสบภัยได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันภัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186และเว็ปไซต์ www.oic.or.th

 

4. ผู้เสียหายจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอย่างไร (รายละเอียดโปรดดูในหัวข้อ ทนายจำเลยต่อสู้คดีตามแนวฎีกากันอย่างไร เรื่องที่ 29 ประกันภัยรถยนต์ หลักกฎหมายและฎีกาสำคัญ ซึ่งทีมทนาย ThaiLawConsult ได้นำเสนอไว้แล้ว )

ค่าสินไหมทดแทน เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 , 442 , 223 วรรค 1 , 443 , 444 - 446 , 1461 , 1563 , 1564

มาตรา 443

                    "ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่น ๆ อีกด้วย

                    ถ้า ไม่ได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถ ประกอบการงานนั้นด้วย

                    ถ้า เหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"

 

กรณีตายทันที

จากบทบัญญัติมาตราต่าง ๆ นี้ ถ้าถูกทำละเมิดถึงแก่ความตายทันที ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการทำศพตามประเพณี ค่าขาดไร้อุปการะแก่ทายาทบางคน เช่น บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย สามีหรือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือทุพพลภาพและหาเลี้ยงตน เองไม่ได้ โดยไม่คำนึงว่าตามความเป็นจริงแล้วผู้ตายจะอุปการะเลี้ยงดูบุคคลเหล่านี้ หรือไม่ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองแล้ว ย่อมมิใช่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา เพียงแต่มีสิทธิรับมรดกของบิดาเท่านั้น ซึ่งบิดาไม่มีหน้าที่ต้องอุปการะบุตรดังกล่าว ดังนั้น บุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองแล้ว จึงไม่อาจเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ นอกจากนี้ ถ้าผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้แก่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ บุคคลภายในครอบครัว เป็นเหตุให้บุคคลผู้นั้นขาดแรงงานจากผู้ตายไป บุคคลดังกล่าวย่อมเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดได้

ค่าปลงศพที่จะเรียกร้อง กันได้นั้น ต้องเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการทำศพตามพิธีกรรมทางศาสนา ตามฐานานุรูป และตามความจำเป็น ผู้ที่จะเรียกร้องได้นั้นจะต้องเป็นทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายที่มีสิทธิรับมรดก ของผู้ตาย เช่น คู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย มารดา บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายเป็นบิดาได้ให้การรับรองแล้ว บุตรบุญธรรม หรือทายาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 และมาตรา 1635 หรือผู้จัดการมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1649 เท่านั้น แม้จะมีบุคคลอื่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการทำศพก็ตาม ในด้านของผู้ทำละเมิดย่อมมีหน้าที่ชำระเงินค่าปลงศพให้แก่ทายาทของผู้ตาย แต่ไม่มีสิทธิขอให้นำเงินจากบุคคลอื่นที่ช่วยทำบุญในงานศพของผู้ตายมาหักออก จากเงินที่ใช้ในการทำศพ เพราะเป็นสิทธิของทายาทที่มีผู้มอบให้เพื่อช่วยเหลือในทางส่วนตัวของผู้ตาย และทายาท มิใช่เงินของผู้ทำละเมิด นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการทำศพของผู้ตาย เช่น ค่าเช่ารถไปรับศพ ค่าเช่าศาลาวัด เงินที่ใช้ถวายพระสงฆ์ที่มาทำการสวดมนต์ในงานศพของผู้ตาย ค่าดอกไม้ ค่าบุหรี่ถวายพระ และอื่น ๆ เช่น มีบุคคลจำนวนมากไปร่วมงานศพ ซึ่งจัดการตามประเพณีของศาสนา ก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพและดูแลบุคคลที่ไปร่วมงานศพดังกล่าวด้วย ในช่วงระยะเวลาที่มีการจัดงานศพข้างต้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทำหนังสือและค่าของชำร่วยแจกในงานศพ เป็นต้น ก็ย่อมเรียกร้องจากผู้ทำละเมิดได้ แต่ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เพื่อใส่กระดูกของผู้ตาย ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการทำศพของผู้ตาย จึงไม่อาจเรียกร้องกันได้

ในการกำหนดค่าอุปการะ เลี้ยงดูนั้น ถ้าจะให้มีการชำระเป็นรายเดือน ย่อมเป็นการยุ่งยาก ศาลมีอำนาจกำหนดให้ชำระเป็นเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ต้องเสียหายได้ในคราว เดียวกัน

 

กรณีไม่ตายทันที

จากบทบัญญัติดังกล่าวข้าง ต้น ถ้าผู้ถูกทำละเมิดมิได้ถึงแก่ความตายทันที ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งในการรักษาพยาบาลผู้ต้องเสียหายแล้ว ทายาทย่อมมีสิทธิเลือกโรงพยาบาลที่จะให้ผู้ถูกทำละเมิดเข้ารับการรักษา พยาบาล เพื่อให้ผู้ถูกทำละเมิดหาย มีชีวิตรอด และหายจากการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ซึ่งแพงกว่าก็ตาม ทั้งต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาลของผู้ถูกทำละเมิดและ ทายาทที่ต้องไปทำการดูแลด้วย ผู้ทำละเมิดหรือบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดกับผู้ทำละเมิด มีหน้าที่ต้องดใช้ให้แก่ทายาทของผู้ถูกทำละเมิดเพิ่มขึ้นอีก จากกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดถึงแก่ความตายทันที เว้นแต่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยและเกินความจำเป็น นอกจากนั้น ในกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดรับราชการ หรือบุตรรับราชการ หรือบิดามารดารับราชการ แม้จะมีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการก็ตาม แต่ก็เป็นสวัสดิการที่ทางราชการจัดให้แก่ข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ฝ่ายผู้ทำละเมิดไม่อาจจะยกขึ้นอ้างเพื่อปัดความรับผิด หรือหักทอนออกจากค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ทั้งเงินค่ารักษาพยาบาลที่เบิกมาจากหน่วยงานต้นสังกัดก็ไม่ใช่เงินของฝ่าย ผู้ทำละเมิด

ทั้งในช่วงการเข้ารับการ รักษาพยาบาล ผู้ถูกทำละเมิดซึ่งได้รับบาดเจ็บในขณะนั้น ย่อมไม่อาจทำงานตามปกติอันจะทำให้มีรายได้ จึงต้องขาดประโยชน์ที่ควรจะได้ในระหว่างนั้นได้ ผู้ทำละเมิดและผู้ร่วมรับผิดด้วย จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ให้แก่ทายาทของผู้ถูกทำละเมิดซึ่งถึงแก่ ความตายในภายหลัง

 

ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีทำให้เขาตาย (ป.พ.พ. มาตรา 443 - 445) ได้แก่

  1. ค่าปลงศพ
  2. ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆ
  3. ค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย
  4. ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย
  5. ค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย
  6. ค่าขาดแรงงาน

ค่าสินไหมทดแทนกรณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายและอนามัย (กรณีไม่ถึงแก่ความตาย ป.พ.พ. มาตรา 444 - 446) ได้แก่

  1. ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป
  2. ค่าเสียความสามารถประกอบการงานทั้งในปัจจุบันและในอนาคต (มาตรา 444 วรรคแรก)
  3. ค่าขาดแรงงาน (มาตรา 445)
  4. ค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน (มาตรา 446)

 

5. ถ้าผู้โดยสารตายทันที จะเรียกร้องเท่าไรดี

ทีมทนาย Thai Law Consult โดย พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 จะตอบคำถามนี้ในภาพรวมกว้างๆ ตามสภาพเศรษฐกิจ และฐานานุรูป ของผู้เสียหายและฝ่ายผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิด

5.1    คดีนี้ มีรถตู้ และรถพ่วง 18 ล้อ จึงมีกรมธรรม์ประกันภัย ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และกรมธรรม์ ภาคสมัครใจ ประเภท 3 ซึ่งมีวงเงินคุ้มครอง กรณีทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต เกินจากวงเงิน ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ อีก 3 แสนบาท (ตามข่าวเท่านั้น ทนายความหรือผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีนี้ ควรต้องหาข้อมูล ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม) แต่โดยสรุป Thai Law Consult ทราบข่าวในเบื้องต้นว่า ผู้ขับขี่รถทั้งสองคันนี้ ต่างก็ประมาท เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในรถตู้เสียชีวิต ดังนั้น เบื้องต้น ผู้เสียหายน่าจะเรียกร้องได้จากกรมธรรม์ประเภทต่างๆ ได้ประมาณศพละ 1.5 ล้านบาท

5.2    คดีนี้ รถตู้ มี บขส. หรือ บริษัท ขนส่ง จำกัด เป็นผู้รับสัมปทาน ทนายความของผู้เสียหาย น่าจะศึกษารายละเอียดว่า จะฟ้องละเมิด เรียกค่าสินไหมทดแทนจาก บขส. ได้หรือไม่ (ในเบื้องต้น ทีมทนาย Thai Law Consult เห็นว่า บขส. ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย)

5.3    คดีนี้ รถตู้ น่าจะมีเจ้าของรถ และ/หรือ เจ้าของวินรถตู้ ทนายความของผู้เสียหาย "ต้องฟ้อง" ละเมิด เรียกค่าเสียหายจาก เจ้าของรถ และ/หรือ เจ้าของวินรถตู้ด้วย

5.4    คดีนี้ เจ้าของรถพ่วง 18 ล้อ น่าจะร่วมรับผิดชอบด้วย ทนายความของผู้เสียหาย "ต้องฟ้อง" เจ้าของรถพ่วง 18 ล้อด้วย

5.5    แม้ไม่สามารถตีค่าชีวิตของผู้ โดยสารเป็นจำนวนเงินได้ แต่ค่าสินไหมทดแทนกรณีตายทันที น่าจะอยู่ที่ศพละ 3 ล้านบาท (มากน้อยตามฐานานุรูป ของทั้งสองฝ่าย) เป็นความเห็นเบื้องต้น ยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบมากกว่านี้

5.6    ทีมทนาย Thai Law Consult เรียบเรียงบทความนี้ เพื่อเผยแพร่ความรู้กฎหมายสู่ประชาชน ไม่ได้มีเจตนาทำให้ใครหรือผู้ใดเสียหาย หากมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะได้ช่วยกันเยียวยา บรรเทาความเสียหายให้แก่ผู้โดยสาร รวมทั้งช่วยกันหาทางป้องกันอย่าให้คดีทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อย

5.7    หากผู้เสียหายและญาติจาก เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ มีข้อสอบถาม หรืออยากหาทนายความช่วยแนะนำปรึกษา ติดต่อมานะครับ ทีมทนาย Thai Law Consult จะช่วยดูแลให้ โทร. 098-915-0963

"หลังเกิดเหตุ นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม ได้ลงพื้นที่ตรวจจุดเกิดเหตุยอมรับว่า รถพ่วงที่จอดเสียไม่ได้จอดริมทาง แต่กินเลนปกติมาหน่อย และไม่ได้ติดสัญลักษณ์ให้รู้ ขณะรถตู้คันเกิดเหตุเป็นรถตู้ป้ายฟ้า ไม่ใช่รถโดยสารประจำทาง วิ่งด้วยความเร็วสูง จากการสอบถามขนส่งจังหวัดยอมรับว่า พยายามตรวจจับรถตู้เถือน แต่ไม่หมดเสียที ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บขส. ต้องรับผิดชอบ"

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์ ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2556

 

6. ข่าวสารจากสื่อต่างๆ

6.1    ข่าวจาก หนังสือมติชนออนไลน์ วันที่ 27 สิงหาคม 2556 เวลา 07.45 น.

เผยรถตู้ซิ่งอัดก๊อบปี้พ่วง18ล้อ เป็นวินเถื่อน เหยื่อตาย9ศพเจ็บ 7 ไม่ได้รับสิทธิชดเชยใด ๆ

 จากกรณีรถตู้โดยสารคิวรถสาย ปราจีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  ทะเบียน ฮบ-8901 กทม. (ป้ายขาว) พุ่งชนรถพ่วง18ล้อที่จอดเสียริมถนนสายปราจีนบุรี-ฉะเชิงเทรา เลยรอยต่อระหว่าง จ.ปราจีนบุรี กับ จ.ฉะเชิงเทรา  บ้านบางขนาก อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา  ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 7 ราย เหตุเกิดเมื่อช่วงเวลาประมาณ 05.50  น.  วันที่  26 สิงหาคม ที่ผ่านมานั้น

รายงานจาก กรมขนส่ง  จ.ปราจีนบุรี  เมื่อวันที่  27  สิงหาคมว่า รถตู้โดยสารคันนี้   เป็นรถตู้ป้ายดำ หรือรถตู้เถื่อน คือ ป้ายทะเบียนขาว ตัวอักษรสีดำ ที่หลบเลี่ยงการขึ้นทะเบียนรถตู้โดยสาร และแอบวิ่งวินรับผู้โดยสารจาก จ.ปราจีนบุรีไปกรุงเทพมหานคร(ส่วนรถตู้โดยสารที่ถูกต้องจะเป็นป้ายทะเบียน เหลืองมีหมายเลขด้านข้างรถเขียนเป็นรถบริการร่วมกับกรมขนส่งทางบกหมายเลข ขึ้นด้วยเลข10)   ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เสียหายจากรถตู้โดยสารนี้จะไม่ได้รับการชดเชยจากกรมการขน ส่งทางบก เพราะเป็นรถตู้เถื่อน พร้อมกันนี้ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจะไม่ได้รับการชดเชยความคุ้มครองใดๆจากรถตู้คันนี้ เพราะเป็นประกันประเภทที่ 3 ที่คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี แต่ล่าสุดตอนนี้ผู้เสียชีวิตได้รับการชดเชยจากประกันของรถพ่วงบรรทุกรายละ 7 แสนบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า  ก่อนหน้านี้ ขนส่ง จ.ปราจีนบุรีได้เข้มงวดตรวจตรารถตู้เถื่อนต่อเนื่อง  อาทิ ตั้งด่านตรวจ แต่มีคิวรถตู้จำนวนมากที่ทั้งยากจนและมีผู้มีอิทธิพลเป็นเจ้าของคิว ที่หลีกเลี่ยงช่วงเจ้าหน้าที่เผลอ หรือเล็ดรอดได้  ล่าสุด น.ส.จิตรา  พรหมชุติมา ผวจ.ปราจีนบุรีได้สั่งการห้ามรถตู้ป้ายดำหรือรถตู้เถื่อนวิ่งในคิวโดยเด็ด ขาด และจะมีการอบรมให้ผู้ขับขี่รถตู้โดยสารมีจิตสำนึกในการขับขี่ระมัดระวังเน้น ความปลอดภัยไม่เร็งเกินกำหนด

 

6.2    ข่าวจาก หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

รถตู้เถื่อนซิ่งมรณะอัดท้ายรถพ่วงตายเกลื่อน9ศพเจ็บ7

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2556 เวลา 10:21 น.

เมื่อเวลา 05.00  น.  วันที่ 26  ส.ค. ร.ต.ท.ศักดิ์ชัย  จันทะนะ ร้อยเวร สภ.บางขนาก อ.บางน้ำเปรี้ยว  จ.ฉะเชิงเทรา รับแจ้งอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนท้ายรถพ่วงบนถนนเส้นบางน้ำเปรี้ยว-บ้านสร้าง หมู่ 2 ต.บางขนาก  ขาเข้า อ.บางน้ำเปรี้ยว มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย   จึงประสานหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทราพร้อมอุปกรณ์ตัดถ่างไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบ ซากรถตู้โตโยต้าคอมมิวเตอร์ สีขาว ทะเบียนป้ายดำ ฮบ 8901 กรุงเทพมหานคร  ชนอัดติดท้ายรถพ่วง 22 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว-เขียว  ทะเบียนตัวแม่ 70-6551 นครปฐม  ทะเบียนตัวพ่วง 70-6525 นครปฐม 

ตรวจสอบภายในรถตู้พบเก้าอี้ผู้โดยสารฉีก ขาดกระจายมารวมกองกันอยู่หน้ารถ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายรายถูกอัดก็อปปี้  จึงรีบลำเลียงออกมาถึง 9 ศพ เบื้องต้นทราบชื่อนายชาตินัย  เชยประเสริ  นายกฤษกร  มณีวงษ์ น. ส.สรินลา  ลือสนั่น นายณัฐพล  เขาเขจร  นายอดิศร  เป็นอยู่  นายพงษ์ศักดิ์  เลือดไทย  น. ส.สุวันญา  วุฒิเมธา และชายไม่ทราบชื่ออีก  2 ราย

นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บหลายราย ร้องโอดโอยติดอยู่ในซากรถ หน่วยกู้ภัยใช้อปกรณ์ตัดถ่างช่วยเหลือนำผู้บาด เจ็บออกมาแต่ระหว่างการตัดถ่างเกิดไฟลัดวงจรมีกลุ่มควัน  เจ้าหน้าที่ต้องใช้ถังดับเพลิงฉีดควบคุมไม่ให้ลุกเป็นไฟ พร้อมเร่งลำเลียง ผู้บาดเจ็บส่งรพ.บางน้ำเปรี้ยว  7 ราย ประกอบด้วย  นายอนุสรณ์  ศรีชัย  อายุ 20  ปี  คนขับรถตู้ นายอรรถชัย  ชารีวัน อายุ 35 ปี  นายปรเม  รุ่งแสง  อายุ 34 ปี   นายรุ่ง รุ่งแสง อายุ 33 ปี นางบุษบา  สุขโขพันธุ์  อายุ 34 ปี  น.ส.นันทพ  วุฒิเมธา อายุ 28 ปี  และ น.ส.สุชานาฎ  ทับทิมงาม  อายุ 45ปี  

จากการสอบสวนในชั้นนี้  ทราบว่านายอนุสรณ์  รับผู้โดยสารมาจาก จ.ปราจีนบุรี เพื่อไปส่งที่อนุเสาวรีย์ชัย  กทม. เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีรถพ่วงบรรทุกของมาเต็มคันจอดเสียบนถนนไม่ชิดขอบทาง และไม่เปิดสัญญาณไฟ ทำให้รถตู้ที่วิ่งมาด้วยความเร็วมองไม่เห็นพุ่งชนท้ายเต็มแรงทำให้มีผู้เสีย ชีวิตและบาดเจ็บในครั้งนี้  โดยจะสอบสวนในรายละเอียดต่อไป พร้อมควบคุมตัวนายวิโรจน์  วงษ์กฎ  อายุ 30 ปี คนขับรถพ่วงไว้สอบสวนด้วย

ล่าสุดนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  รมว.คมนาคม อยู่ระหว่างเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รพ.แล้ว  ทั้งนี้ได้ให้สัมภาษณ์เบื้องต้นว่า จากการตรวจสอบรถตู้เป็นรถเถื่อน ดังนั้นจะเร่งสังคายนาปัญหาของรถตู้เถื่อนพร้อมๆ กับการแก้ปัญหารถไฟฯ ที่สะสมมานาน.

 

7.    คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา (ทีมทนาย Thai Law Consult จะนำเสนอเรื่องนี้ในโอกาสต่อไปนะครับ แต่วันนี้อยากให้ผู้เสียหายหรือทนายความพึงระวัง ป.พ.พ. มาตรา 448 ซึ่ง บัญญัติว่า "สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการ ละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับ แต่วันทำละเมิด
แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิด มีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ" (โปรดดู ยกหูถึงพี่ตุ๊กตา เรื่องที่ 28 อายุความฟ้องละเมิด เรียกค่าสินไหมทดแทน)

8.    ฎีกาที่เกี่ยวข้องกับคดีรถตู้ ปราจีนบุรี - อนุสาวรีย์ชัย ชนท้ายรถพ่วง 18 ล้อ ผู้โดยสารเสียชีวิต ใครบ้างต้องรับผิดชอบ พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 โทร.098-915-0963 เห็นว่าฉบับเต็มน่าสนใจ จึงนำมาลงไว้ดังนี้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2210/2544

ป.อ. มาตรา 291

พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 43(4), 78, 157

 

          แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจุดที่ จำเลยจอดรถและเกิดเหตุชนกันอยู่ในไหล่ทางด้านซ้ายของถนนในลักษณะที่ไม่กีด ขวางการจราจรแล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยจอดรถในเวลามืดค่ำโดยไม่ได้เปิดไฟหรือใช้แสงสว่างตามที่กำหนด ในกฎกระทรวงเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่จอดอยู่ จนเป็นเหตุให้ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถคันที่จำเลยจอดทำให้ ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นผลจากความประมาทของจำเลยไม่ว่าจะฟังว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยก็ ตามก็ต้องถือว่าเหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดเพราะความประมาทของจำเลยด้วย จึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่งดเว้นการที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้น หาใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการขับรถของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43(4),157 คงผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

           ความผิดฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้ อื่น แล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา 78 กำหนดให้ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของ ผู้อื่นต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่ หรือไม่ก็ตามแต่ผู้ขับรถที่จะถือว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็น ผู้ขับรถที่กำลังแล่นอยู่ หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดรถอยู่หรือหยุดรถอยู่ไม่จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็น ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78

________________________________

 

          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยขับรถบรรทุก 10 ล้อ พร้อมรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 80-3632 ยโสธร ไปตามถนนวารีราชเดชจากทางด้านอำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร มุ่งหน้าไปทางด้านอำเภอเลิงนกทาจังหวัดยโสธร เมื่อจำเลยขับถึงบริเวณบ้านหนองซ้งแย้ หมู่ที่ 7ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ยางเส้นในล้อหลังรถพ่วงด้านขวาแตก จำเลยจึงจอดรถบนถนนดังกล่าวในลักษณะกีดขวางการจราจรและไม่เปิดไฟสัญญาณฉุก เฉินของรถเพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ โดยรู้อยู่แล้วว่าในขณะนั้นเป็นเวลามืดค่ำแสงสว่างไม่เพียงพอที่ผู้ขับขี่จะ มองเห็นรถที่จอดในทางเดินรถได้โดยชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร และด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ นายอนุรักษ์สมสอน ซึ่งขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนยโสธร ช-2962ไปตามถนนดังกล่าวมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ไม่อาจระมัดระวังและมองเห็นรถบรรทุกพร้อมรถพ่วงที่จำเลยจอดอยู่ได้ จึงพุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกพร้อมรถพ่วงอย่างแรง ทำให้รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายและนายอนุรักษ์ถึงแก่ความตาย ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง หลังจากนั้นจำเลยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือนายอนุรักษ์ตามสมควร และไม่แสดงตัว ทั้งไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับไม่แจ้งชื่อตัวชื่อสกุลและที่อยู่ของจำเลยแก่ผู้ได้รับความเสียหาย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและจำเลยใช้รถบรรทุกพร้อมรถพ่วงดังกล่าวซึ่งเป็น รถที่ใช้ในการขนส่ง บรรทุกหินแล่นไปตามถนน โดยที่ยังมิได้เสียภาษีประจำปีเหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 71, 85, 148

          จำเลยให้การปฏิเสธ

          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคหนึ่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 71, 148ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและ ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือฯ จำคุก 2 เดือน ฐานใช้รถที่จดทะเบียนแล้วแต่มิได้เสียภาษีประจำปีปรับ 8,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี 2 เดือนและปรับ 8,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยจอดรถบรรทุกพร้อมรถพ่วงหมายเลข ทะเบียน 80-3632 ยโสธรในไหล่ทางในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นได้โดยชัดแจ้งใน ระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร ต่อมาผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถคันที่จำเลยขับมาจอดไว้ดังกล่าวเป็น เหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรก ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยฎีกาในทำนองว่าจำเลยได้เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ขับ รถคันอื่นสามารถมองเห็นได้แล้ว แต่เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตายเองนั้น เห็นว่า ในข้อที่ว่าจำเลยเปิดไฟสัญญาณไว้หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยจอดรถไว้โดยไม่ได้เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉิน และขณะเกิดเหตุเป็นเวลามืดค่ำแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องเปิดไฟฉุกเฉินไว้เป็นสัญญาณป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ แต่จำเลยงดเว้นไม่ปฏิบัติตามจนเกิดเหตุขึ้น ถือว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยด้วย จำเลยอุทธรณ์เพียงว่าขณะเกิดเหตุยังไม่มืด ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินไว้หรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยก ขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตายเองนั้นเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจุดที่จำเลยจอดรถและเกิดเหตุชนกันอยู่ในไหล่ทางด้าน ซ้ายของถนน แสดงว่าจำเลยได้จอดรถในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจรแล้ว แต่การที่จำเลยจอดรถในเวลามืดค่ำโดยไม่ได้เปิดไฟหรือใช้แสงสว่างตามที่กำหนด ในกฎกระทรวงเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่จอดอยู่จนเป็นเหตุให้ ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถคันที่จำเลยจอดทำให้ผู้ตายถึงแก่ ความตาย อันเป็นผลจากความประมาทของจำเลยไม่ว่าจะฟังว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย หรือไม่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าเหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดเพราะความประมาทของจำเลยด้วยไม่ ทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา 43(4), 157 มาด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนท้ายรถคันที่จำเลยขับซึ่งจอดอยู่ใน ไหล่ทางจนถึงแก่ความตายเกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยที่ ไม่เปิดไฟสัญญาณของรถให้ผู้ตายซึ่งขับรถมาทางด้านหลังสามารถมองเห็นรถคันที่ จำเลยจอดไว้ในระยะห่างเพียงพอที่ผู้ตายจะหยุดรถหรือหลบหลีกไปได้แล้วการที่ ผู้ตายขับรถชนถึงแก่ความตายจึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น หาใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการขับรถของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 43(4), 157 คงผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถใน ทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร ฯลฯ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78หรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงว่าไม่มีเจตนาหลบหนีเห็นว่า แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78 กำหนดให้ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของ ผู้อื่นต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่ หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้ขับรถที่จะถือว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย และต้องหยุดรถปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ขับรถที่ กำลังแล่นอยู่ หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดรถอยู่หรือหยุดอยู่ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาชนท้ายรถคันที่จำเลยขับ ขณะจอดเสียอยู่มิใช่ขณะกำลังแล่นอยู่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา 78 ปัญหาข้อนี้และข้อแรกที่วินิจฉัยข้างต้นแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกาขึ้นมาในข้อ กฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบกฯ ทั้งสองข้อหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 215, 225

          ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายขอให้ รอการลงโทษนั้น เห็นว่าการที่จำเลยทราบว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถคันที่จำเลยขับ แล้ว ขับรถหลบหนีไปปล่อยให้ผู้ตายซึ่งได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ในที่เกิดเหตุ เช่นนี้แสดงถึงความไม่มีมนุษยธรรมของจำเลย จึงไม่สมควรรอการลงโทษให้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น"

          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

( ชวลิต ยอดเณร - ปราโมทย์ ชพานนท์ - สุเมธ ตังคจิวางกูร )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2545

ป.พ.พ. มาตรา 420, 425, 572, 1077(2), 1087 

          จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่ง มีรถบรรทุกประกอบการถึง 30 คัน โดยไม่ใช่รถบรรทุกของจำเลยที่ 1 เลย แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีรายได้และผลประโยชน์มาจากรถบรรทุกที่เข้าร่วมประกอบการขนส่ง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 4จดทะเบียนเข้าร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1 และด้านข้างรถก็พ่นสีระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ยอมผูกพันตนเข้าร่วมกิจการและรับผลประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่ 4เมื่อจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 โดยประมาท ถือได้ว่าจำเลยที่ 5เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ในผลแห่งละเมิดนั้น ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ก็ต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1077(2),1087

           จำเลยที่ 6 เป็นเพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกที่ให้จำเลยที่ 4 เช่าซื้อไปจำเลยที่ 4 เป็นผู้ครอบครองใช้รถคันดังกล่าวจึงมีอำนาจนำรถไปจดทะเบียนประกอบการขนส่ง ร่วมกับจำเลยที่ 1ได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 และแม้ว่าจำเลยที่ 2จะเป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 6 และร่วมกับจำเลยที่ 3 จดทะเบียนตั้งจำเลยที่ 1 ขึ้นมาเพื่อประกอบการขนส่งก็ตาม ก็เป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและเป็นกิจการของจำเลยที่ 1โดยลำพัง ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 6 ร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1และที่ 4 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์

 ________________________________

 

          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6ร่วมกันทำธุรกิจประกอบการขนส่งและเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลข ทะเบียน 70-0030 กระบี่ โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242 สมุทรปราการและรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สหมายเลขทะเบียน 80-3572 สมุทรปราการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2532 นายสมนึก ไชยวงศ์ ลูกจ้างโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อลากรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สดังกล่าวไปตามถนน เพชรเกษม จากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ 328 ถึงที่ 330 ในท้องที่หมู่ที่ 1ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0030 กระบี่ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 แล่นสวนทางมาด้วยความประมาทแซงรถคันอื่นล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของโจทก์ เป็นเหตุให้ชนรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ซึ่งลากรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยรวม 3,502,715.73 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี จากต้นเงิน 3,258,340.22 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242 สมุทรปราการและรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สหมายเลขทะเบียน 80-3572 สมุทรปราการจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองหรือประกอบการขนส่งรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลข ทะเบียน 70-0030 กระบี่ และไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 5 เหตุละเมิดเกิดจากนายสมนึก ไชยวงศ์ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242 สมุทรปราการด้วยความประมาทโดยใช้ความเร็วสูง แซงรถจักรยานยนต์ล้ำเข้ามาชนรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 5 ขับในช่องเดินรถของจำเลยที่ 5 คำฟ้องเคลือบคลุม เนื่องจากรายการความเสียหายตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาต่างประเทศ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่เข้าใจว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร จำนวนเท่าใด กรรมการของโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความและตราประทับในใบแต่ง ทนายความไม่ใช่ตราสำคัญของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

          จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่า กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242สมุทรปราการ และรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สหมายเลขทะเบียน80-3572 สมุทรปราการ จำเลยที่ 4 มิได้ประกอบการขนส่งร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 6 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 และที่ 6 เหตุละเมิดเกิดจากนายสมนึก ไชยวงศ์ ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242 สมุทรปราการ ด้วยความประมาทแซงรถจักรยานยนต์ล้ำเข้ามาชนรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 5 ขับในช่องเดินรถของจำเลยที่ 5 รถพ่วงบรรทุกถังแก๊สหมายเลขทะเบียน 80-3572 สมุทรปราการ ได้รับความเสียหายไม่เกิน200,000 บาท และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30กันยายน 2532 เพราะโจทก์มิได้จ่ายเงินค่าซ่อมไปตั้งแต่วันดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง

          จำเลยที่ 6 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0030 กระบี่ ไปจากจำเลยที่ 6และชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 6 ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 จำเลยที่ 5 มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 6 คำฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมเนื่องจากรายการค่าซ่อมรถพ่วงบรรทุกถัง แก๊สตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นภาษาอังกฤษ จำเลยที่ 6 ไม่อาจเข้าใจได้ขอให้ยกฟ้อง

          ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอ ให้เรียกบริษัทไทยศรีนครประกันภัย จำกัด เข้าเป็นจำเลยร่วมและจำเลยที่ 4 ถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสาวอรุณวรรณ อุ่นทรัพย์เจริญ ทายาทเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต

          จำเลยร่วมให้การว่า กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242 สมุทรปราการ และรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สหมายเลขทะเบียน 80-3572 สมุทรปราการ จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0030 กระบี่ จำนวนเงินเอาประกัน 200,000 บาท จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4ผู้เอาประกันภัยและเหตุละเมิดเกิดจากความประมาทของนายสมนึกไชยวงศ์ ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 กับจำเลยร่วมใช้เงิน 3,258,340.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 30 กันยายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้จำเลยร่วมรับผิดในต้นเงินไม่เกิน 200,000 บาท แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2533) ต้องไม่เกิน244,375.50 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 6

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ร่วมกันใช้เงิน 3,258,340.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันที่ 30 กันยายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 1 ตุลาคม 2533) ต้องไม่เกิน244,375.50 บาท โดยให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดใช้เงินจำนวน200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่30 กันยายน 2532 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยคู่ความทั้งสองฝ่าย มิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยที่ 6 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0030 กระบี่โดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้เช่าซื้อ และจดทะเบียนประกอบการขนส่งประเภทไม่ประจำทางร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 5 ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทชนรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-6242 สมุทรปราการ ซึ่งลากรถพ่วงบรรทุกถังแก๊สหมายเลขทะเบียน 80-3572 สมุทรปราการ ของโจทก์ เป็นเหตุให้รถพ่วงคันดังกล่าวและถังแก๊สเสียหายเป็นเงิน 3,258,340.22บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายธานินทร์ ยลวงศ์นักวิชาการขนส่งประจำสำนักงานขนส่งกระบี่เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประเภทไม่ประจำทาง และจำเลยที่ 4 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้ประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1 ตามสำเนาหนังสือแสดงการจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.1 รถยนต์บรรทุกที่จดทะเบียนประเภทไม่ประจำทางไม่จำต้องเป็นรถยนต์บรรทุกของผู้ ประกอบการขนส่ง แต่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ประกอบการขนส่งให้เข้าร่วมประกอบการขนส่ง ส่วนการจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกประเภทส่วนบุคคลผู้ขอจดทะเบียนจะต้องเป็นเจ้า ของหรือผู้เช่าซื้อ รถยนต์บรรทุกที่จดทะเบียนประเภทไม่ประจำทางจะเปลี่ยนแปลงเป็นประเภทส่วน บุคคล ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องขอถอนจากประเภทไม่ประจำทางก่อน แล้วผู้เป็นเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวจึงจะขอจดทะเบียน เป็นประเภทส่วนบุคคลได้ ส่วนฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความในทำนองว่า จำเลยที่ 2และที่ 3 ร่วมกันจดทะเบียนตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้น เพื่อให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากจำเลย ที่ 6 ให้สามารถนำไปจดทะเบียนและประกอบการขนส่งประเภทไม่ประจำทางได้ โดยจำเลยที่ 1 ได้รับค่าธรรมเนียมจากการที่จำเลยที่ 4 ขอเข้าร่วมประกอบการขนส่งเพียง 1,000 บาทเท่านั้น แต่จำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า หากไม่ร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ก็สามารถจดทะเบียนประเภทอื่นได้และจำเลยที่ 3 เบิกความว่า จำเลยที่ 4 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0030 กระบี่ จากจำเลยที่ 6 เมื่อวันที่ 20ธันวาคม 2527 ก่อนการเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจดทะเบียนประเภทส่วนบุคคล และเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าลูกค้าที่เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกไปจากจำเลย ที่ 6 บางรายก็นำไปรับจ้างขนส่งเอง โดยไม่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ปัจจุบันจำเลยที่ 1มีรถยนต์บรรทุกประกอบการอยู่ประมาณ 30 คัน แต่มิใช่รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แม้แต่คันเดียว นอกจากนี้จำเลยที่ 5ยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ที่ด้านข้างรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุที่จำเลยที่ 5 ขับ พ่นสีว่า "ห้างหุ้นส่วนจำกัดกระบี่เดินรถ" เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขนส่งมาหลายปีจนกระทั่งมีรถยนต์บรรทุกประกอบการ ถึง 30 คัน โดยมิใช่รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 เลยย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีรายได้และผลประโยชน์มาจากรถยนต์บรรทุกที่เข้าร่วมประกอบการขนส่ง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1ยินยอมให้จำเลยที่ 4 จดทะเบียนเข้าร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1 และด้านข้างรถก็พ่นสีระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ด้วยจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมผูกพันตนเข้าร่วมกิจการและรับผลประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่ 4 ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กล่าวอ้างว่าได้รับประโยชน์เป็นค่าธรรมเนียมเพียง 1,000 บาท นั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือ และข้ออ้างที่ว่าจดทะเบียนตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้น เพื่อให้บริการหรืออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากจำเลย ที่ 6 ให้สามารถนำไปจดทะเบียนและประกอบการขนส่งประเภทไม่ประจำทางได้ ก็ขัดต่อเหตุผล เพราะถึงแม้ลูกค้าไม่อาจจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกประเภทไม่ประจำทางก็สามารถจด ทะเบียนประเภทส่วนบุคคลได้อยู่แล้ว และลูกค้าบางคนก็นำรถยนต์บรรทุกไปรับจ้างขนส่งเองโดยไม่ร่วมกับจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 4 นำรถยนต์บรรทุกมาร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 โดยประมาท กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ในผลแห่งละเมิดนั้น ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077(2) มาตรา 1087จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกา ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 6ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายธานินทร์ ยลวงศ์ นักวิชาการขนส่งพยานโจทก์ว่า จำเลยที่ 6ไม่มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง เพราะตามระเบียบห้ามผู้ค้ารถยนต์เป็นผู้ประกอบการขนส่ง และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 6เป็นผู้ร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1 คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 6 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0030 กระบี่ โดยให้จำเลยที่ 4 เช่าซื้อ จำเลยที่ 4 เป็นผู้ครอบครองใช้รถยนต์ดังกล่าวแล้วนำไปจดทะเบียนประกอบการขนส่งร่วมกับ จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 4 มีอำนาจกระทำเช่นนั้นได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 6 และร่วมกับจำเลยที่ 3 จดทะเบียนตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นเพื่อประกอบการขนส่งดัง วินิจฉัยมาข้างต้นก็เป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและเป็นกิจการของจำเลยที่ 1 โดยลำพังเพราะไม่ปรากฏว่ากรรมการของจำเลยที่ 6 ได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนหรือเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่อย่างใดข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 6 ร่วมประกอบการขนส่งกับจำเลยที่ 1และที่ 4 ดังนั้น จำเลยที่ 6 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น"

          พิพากษายืน 

( อรพินท์ เศรษฐมานิต - รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ - ชัช ชลวร )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2905/2532

ป.พ.พ. มาตรา 425 

          จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกิจการเดินรถกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจำเลยที่ 4 การที่จำเลยที่ 2และที่ 3 นำรถยนต์โดยสารเล็กของตนมารับคนโดยสารโดยใช้ตราของจำเลยที่ 4 ติดไว้ข้างรถ ถือได้ว่าเป็นกิจการของจำเลยที่ 4ด้วย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในขณะเกิดเหตุย่อมถือว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 ในขณะเกิดเหตุด้วย จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ต่อโจทก์ 

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิด

          จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 4 ให้การสู้คดี

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ด้วย

          จำเลยที่ 4 ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารเล็กคันหมายเลขทะเบียน 10-6287 กรุงเทพมหานคร รถยนต์คันนี้มีตราองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจำเลยที่ 4 ติดอยู่ข้างรถ ปรากฏตามรูปถ่ายหมาย จ.5 และ จ.6 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวขณะเกิดเหตุด้วยความประมาทชนรถยนต์เก๋งคันหมาย เลขทะเบียน 4 ก-1166 กรุงเทพมหานคร และโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์เก๋งคันนี้ไว้ เมื่อเกิดเหตุแล้วโจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวให้แก่อู่ซ่อมรถ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 110,200 บาท คดีฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง ปัญหาในชั้นนี้มีว่าจำเลยที่ 4 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ต่อโจทก์หรือไม่

          นายสมเกียรติ วัชเรศโยธิน นายนันทวิทย์ วัฒนา พยานโจทก์เบิกความว่า รถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุที่จำเลยที่ 1 ขับนั้นมีจำเลยที่ 4 ประกอบการขนส่งโดยรับรถยนต์คันนี้ไว้รับส่งคนโดยสารและให้ใช้ตราของจำเลยที่ 4 ติดไว้ข้างรถ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์รูปถ่ายหมายเลข จ.5 แล้ว เห็นได้ชัดว่ารถยนต์โดยสารคันดังกล่าวมีตราองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจำเลย ที่ 4 ติดไว้ด้านข้างของรถจริงแม้จำเลยที่ 2 เองก็เบิกความยอมรับในข้อนี้ จำเลยที่ 4 มิได้นำสืบโต้แย้งแต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 4 การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3นำรถยนต์โดยสารประจำทางมารับคนโดยสารในลักษณะเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นกิจการของจำเลยที่ 4 ด้วย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3ในขณะเกิดเหตุ ย่อมถือว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 ในขณะเกิดเหตุด้วย จำเลยที่ 4จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ต่อโจทก์ฎีกาจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น

          อนึ่งที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ค่าซ่อมรถยนต์เก๋งไม่เกิน 20,000บาท นั้น จำเลยที่ 4 มิได้นำสืบให้เห็นเช่นนั้นแต่ประการใดในทางตรงกันข้ามโจทก์มีทั้งพยานบุคคล และพยานเอกสารใบเสร็จรับเงินค่าซ่อมรถยนต์เก๋งมาสืบประกอบกันว่า โจทก์ได้จ่ายเงินไปจริง110,200 บาท และค่าซ่อมรถก็เป็นจำนวนเงินดังกล่าวจริง ฎีกาของจำเลยที่ 4 ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน"

          พิพากษายืน 

( ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล - สง่า ศิลปประสิทธิ์ - ศักดา โมกขมรรคกุล )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2533

ป.พ.พ. มาตรา 425 

          จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำไปในทางการที่จ้างซึ่ง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้อง ร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อ โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 นำรถยนต์บรรทุกน้ำมันเข้าวิ่งรับขนส่งน้ำมันในนามของจำเลยที่ 4 ซึ่ง จำเลยที่ 4 ได้ ผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบ ตาม สัญญาขนส่งน้ำมันระหว่างจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 4กำหนดให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับผิดชอบค่าจ้างคนขับรถ ดังนี้ถือ ได้ ว่ากิจการดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 จึงต้อง ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ด้วย. 

________________________________

          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันโดยละเมิดชนรถของโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บถึงอันตรายสาหัสขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่อ โจทก์

          จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยอื่นให้การต่อสู้คดี

          ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นเรียกนางนิ่มนวล บุญศิริ ภรรยาจำเลยที่ 3 เข้าเป็นคู่ความแทน

          ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 นางนิ่มนวล บุญศิริในฐานะผู้แทนที่นายวิทยา บุญศิริ ผู้มรณะ จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 287,512 บาท พร้อมดอกเบี้ย

          โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1ที่ 2 นางนิ่มนวล บุญศิริ ในฐานะผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 3และจำเลยที่ 4 ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 401,512 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกน้ำมันคันหมายเลขทะเบียน80-3291 นครปฐม เพื่อนำมารับจ้างบรรทุกน้ำมันของจำเลยที่ 5โดยจำเลยที่ 5 ว่าจ้างจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับขนส่งน้ำมันตามภาพถ่ายสัญญาขนส่งน้ำมันเอกสารหมาย จ.12 จำเลยที่ 4 ได้ให้จำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมรับขนส่งน้ำมันตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาเข้ารับขนส่งเอกสารหมาย จ.11 และเอกสารหมาย ล.9 จำเลยที่ 3 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์คันดังกล่าวตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันหมายเลขทะเบียน 80-3291 นครปฐมด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9ก-4203กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 เสียหายตามภาพถ่ายหมายจ.15 โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ขับโดยมีโจทก์ที่ 2 ที่ 3 นั่งโดยสารมาด้วยได้รับอันตรายสาหัส ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาเฉพาะเรื่องค่าเสียหายว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการที่ ไม่ได้ใช้รถยนต์ของตนและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการทนทุกข์ทรมานนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องดังกล่าวไว้ เพิ่งหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3

          คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ประการแรกว่า จำเลยที่ 4จะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำไปในทางการที่จ้างซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 นำรถยนต์บรรทุกน้ำมันคันหมายเลขทะเบียน 80-3291 นครปฐม เข้าวิ่งรับขนส่งน้ำมันในนามของจำเลยที่ 4 ซึ่งจำเลยที่ 4 ได้ผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบทั้งนี้ตามสัญญาขนส่งน้ำมันระหว่างจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 4กำหนดให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับผิดชอบค่าจ้างคนขับรถ จึงถือได้ว่ากิจการดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 ด้วย ..."

          พิพากษายืน. 

( เจริญ นิลเอสงฆ์ - ก้าน อันนานนท์ - อัมพร ทองประยูร )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503 - 3507/2530

ป.พ.พ. มาตรา 425, 575 

          จำเลยที่ 1 นำรถยนต์โดยสารไปเข้าร่วมวิ่งกับบริษัทจำเลยที่ 3 ในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 ภายในรถยนต์โดยสารมีประกาศของบริษัทจำเลยที่ 3 ติดอยู่และตั๋วโดยสารก็เป็นตั๋วของบริษัทจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าคนขับรถโดยสารคันดังกล่าวเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เมื่อลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายมี ผู้บาดเจ็บและตายอันเป็นการทำละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ที่ 3 ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์.

________________________________ 

          โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องมีใจความ ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม. 01850 จำเลยที่ 3เป็นผู้มีสิทธิในการเดินรถยนต์โดยสารในเส้นทางสายเชียงราย - เชียงของ จำเลยที่ 3 ได้รับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเข้าเป็นรถร่วมกับจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันจ้างคนขับรถคันนี้รับส่งคนโดยสารไปตามเส้นทางดัง กล่าว วันที่ 8พฤศจิกายน 2524 คนขับรถยนต์โดยสารของจำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารรับส่งคนโดยสารไปตามเส้นทาง เดินรถของจำเลยที่ 3 โดยประมาทเลินเล่อชนกับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ก. 3339สงขลา ของนายยืนยง หอพัฒนาวุฒิวงศ์ โจทก์เสียหาย ผู้ที่นั่งมาในรถเก๋งคือ นายเจียร ชูเรืองสุข ถึงแก่ความตายทันทีนางอัมพรสมชีพ โจทก์ และนางสาวปรีดา หุ้นล่อง โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่า เสียหายเป็นเงิน 18,975 บาท 84,000 บาท 39,500 บาท 305,000 บาท และ 687,042บาท แก่นางอัมพรโจทก์ นางเชือนโจทก์ นางดวง เด็กชายวรศักดิ์เด็ดชายประจักษ์โจทก์ และนายยืนยงโจทก์ ตามลำดับพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่า จะชำระเสร็จ

           จำเลยทั้งสามทุกสำนวนให้การว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถ ยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม. 01850และผู้ขับรถไม่ได้เป็นลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสาม เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์เก๋งขอให้ยกฟ้อง

           ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 8,475บาท แก่โจทก์ที่ 1 ชำระเงิน 84,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ชำระเงิน 16,520 บาท แก่โจทก์ที่ 3 ชำระเงิน 297,770 บาท แก่โจทก์ที่ 4 และชำระเงิน 88,000 บาท แก่โจทก์ที่ 5 พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

           จำเลยที่ 1 ที่ 3 ทุกสำนวนอุทธรณ์

           ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

           จำเลยที่ 1 ที่ 3 ทุกสำนวนฎีกา

           ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์คือร้อยตำรวจเอกบังคม คีติสารซึ่งเป็นพนักานสอบสวนคดีที่รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน เบิกความว่า จากการสืบสวนทราบว่า รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม.01850 เป็นของจำเลยที่ 1 จึงได้สอบถามไปยังบริษัทจำเลยที่3 ซึ่งก็ได้ความว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1มาขอเข้าร่วมกับบริษัทจำเลยที่ 3 แต่ยังไม่ได้นำหลักฐานมาเข้าร่วม จากการสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การว่าเดิมรถยนต์คันนี้เป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาได้ขายให้นายสุรเชษฐ์ บุตรเขยไป ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 3 นำสืบรับในข้อเหล่านี้ รูปคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่า รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม. 01850เป็นของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ว่า ได้ขายให้นายสุรเชษฐ์บุตรเขยไปนั้นเห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานการซื้อขาย ส่วนการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ไปเข้าร่วมวิ่งกับบริษัทจำเลยที่ 3 นั้น ได้ความว่ารถยนต์โดยสารคันดังกล่าวได้เข้าไปวิ่งในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ทั้งภายในรถยนต์โดยสารก็มีประกาศคำเตือนของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่ให้ผู้โดยสารซึ่งไม่ได้เสียค่าระวางสิ่งที่นำมาห้องระวังรักษาของนั้นเอง โดยทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบถ้าสูญหาย และได้ความจากนายพลวัน เดชประมวลพลพยานโจทก์ ซึ่งเป็นทนายความของโจทก์และร้อยตำรวจโทโกวิทโรจน์แสงรัตน์ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงรายว่า หลังเกิดเหตุแล้ว นายพลวันได้ไปขอตรวจค้นรถยนต์โดยสารคันนี้ ซึ่งถูกยึดไว้เป็นของกลาง จากการตรวจค้นพบเศษตั๋วโดยสารซึ่งเป็นตั๋วของบริษัทจำเลยที่ 3 ในรถ แสดงให้เห็นว่า มีการตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถเข้าไปวิ่งร่วมในเส้นทางของจำเลยที่ 3 แล้วจึงถือได้ว่าคนขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เมื่อลูกจ้างดังกล่าวทำละเมิดในทางการที่จ้างจำเลยที่ 1 ที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลย ที่ 1 ที่ 3 รับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ สำนวนที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น

           พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับสำนวนคดีแรกให้บังคับคดีไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และยกฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 สำหรับสำนวนคดีแรกและสำนวนคดีที่ 3 เสีย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดสำหรับคดีสองสำนวนดังกล่าวให้จำเลย ที่ 1 ที่ 3 ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ สำนวนคดีที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาท 2,000 บาท และ 600 บาทแทนโจทก์ในสำนวนคดีที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ตามลำดับ. 

( ครีภูมิ สุวรรณโรจน์ - สุรัตน์ ศรีอนุพันธุ์ - จำนง นิยมวิภาต )

                    .

(คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ Thai Law Consult นำมาจาก ระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา วันที่ 30-08-2556)