Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna...
เว็บ TLC เผยแพร่บทความเพื่อเป็นความรู้แก่ประชาชน
และพร้อมที่จะให้ท่านแคปหน้าจอไปใช้ได้
แต่กรุณาให้เครดิตว่ามาจากเว็บ Thai Law Consult
มิฉะนั้น ท่านอาจจะมีความผิดฐานละเมิดงาน "วรรณกรรม" อันมีลิขสิทธิ์ได้
|
|
|
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna...
พ.ร.บ. เดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ทวิ "ห้าม มิให้ผู้ใดเททิ้งหรือทำด้วยประการใดๆ ให้น้ำมันและเคมีภัณฑ์หรือสิ่งใดๆ ลงในแม่น้ำลำคลองบึงอ่างเก็บน้ำ หรือทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชานหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ำไทยอันอาจจะเป็นเหตุให้เกิดเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต หรือต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือในแม่น้ำลำคลองบึงอ่างเก็บน้ำ หรือทะเลสาบดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและต้องชดใช้เงินค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการแก้ไขสิ่ง เป็นพิษหรือชดใช้ค่าเสียหายเหล่านั้นด้วย
|
.
ทำน้ำมันรั่วในทะเล ต้องรับผิดชอบอย่างไร - หลักกฎหมาย และ บทเรียน
ตั้งแต่ วันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ทีมทนาย ThaiLawConsult ได้รับข่าวสารทาง TV และสิ่งพิมพ์ เรื่อง น้ำมันรั่วในทะเล ความเสียหาย ผลกระทบ และการบริหารจัดการกับความเสียหายในภาวะวิกฤตของภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาครัฐ
วันนี้ 20 สิงหาคม 2556 เมื่อเราได้รับ e-mail จากผู้ใหญ่ที่เคารพว่า ThaiLawConsult น่าจะมีบทความทางกฎหมายและบทเรียน เรื่อง "ทำน้ำมันรั่วในทะเล ต้องรับผิดชอบอย่างไร, หลักกฎหมาย และ บทเรียนในอดีตเป็นอย่างไร"
พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 จึงรวบรวมบทความนี้ เพื่อเป็นความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน
หลักกฎหมายมีดังนี้
พ.ร.บ. เดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ทวิ "ห้ามมิให้ผู้ใดเททิ้งหรือทำด้วยประการใดๆ ให้น้ำมันและเคมีภัณฑ์หรือสิ่งใดๆ ลงในแม่น้ำลำคลองบึงอ่างเก็บน้ำ หรือทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชานหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ำไทยอันอาจจะเป็นเหตุให้เกิดเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต หรือต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือในแม่น้ำลำคลองบึงอ่างเก็บน้ำ หรือทะเลสาบดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและต้องชดใช้เงินค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการแก้ไขสิ่ง เป็นพิษหรือชดใช้ค่าเสียหายเหล่านั้นด้วย"
พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
ทีมทนาย ThaiLawConsult ขออธิบาย มาตรา 119 ทวิ ของ พ.ร.บ.เดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ว่า "การทำให้น้ำมันรั่วไหลลงในทะเลหรือแหล่งน้ำสาธารณะนั้น มีความผิดทางอาญา คือมีโทษจำคุกและปรับด้วย ขณะเดียวกัน ก็มีโทษทางแพ่งด้วย ให้ผู้ก่อปัญหาต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการแก้ไขสิ่งที่เป็นพิษ หรือชดใช้ค่าเสียหายเหล่านั้นด้วย" ตามหลักการที่ว่า ผู้ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่จะแก้ไขปัญหามลพิษนั้น
ขออธิบายมาตรา 97 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ว่า "กำหนดให้ผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ มีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหาย อันเกิดจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติให้แก่รัฐด้วย และหากก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ก็จะต้องชดใช้ให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายนั้นด้วย ตามมาตรา 96
อาจารย์ณรงค์ ใจหาญ นักกฎหมายที่ทีมทนาย Thai Law Consult โทร. 098-915-0963 ให้ความเคารพได้เขียนบทความลงหนังสือสยามรัฐคอลัมน์ "นิติศาสตร์รอบตน" เรื่อง "การชดใช้...กรณีก่อให้เกิดน้ำมันรั่วในทะเล" ไว้ดังนี้นับแต่เกิดเหตุการณ์บริษัทฯ ได้แถลงต่อสาธารณะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่ากังวลและบริษัทฯสามารถ จัดการปัญหาได้ โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของน้ำมันดิบและสารเคมีที่ใช้ในการสลาย น้ำมันดิบ ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน ตลอดจนไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนและมาตรการในการจัดการปัญหาการปนเปื้อน ทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อสาธารณะ ทำให้ประชาชนไม่อาจทราบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและไม่สามารถให้ความเห็น เกี่ยวกับแผนการและมาตรการในการจัดการปัญหาของบริษัทฯ รวมทั้งไม่สามารถติดตาม ตรวจสอบได้ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนและมาตรการที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่เพียงใด
สำหรับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ต้องรักษาประโยชน์สาธารณะและปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนจาก เหตุการณ์ดังกล่าว ก็ไม่ให้ข้อมูลใดๆต่อสาธารณะเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดกับสิ่งแวดล้อมและ ประชาชนทำให้ประชาชนไม่รู้เท่าทันสถานการณ์และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังไม่มีการเปิดเผยแผนและมาตรการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่อ สาธารณะ ทำให้สังคมไม่สามารถมีส่วนร่วมติดตามตรวจสอบการดำเนินการแก้ไขปัญหา ของทั้งบริษัทฯและหน่วยงานรัฐได้ทั้งๆ ที่เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างมาก
พวกเราองค์กรที่มีรายชื่อแนบท้าย แถลงการณ์ฉบับนี้ขอเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเล ดังต่อไปนี้
ข้อเรียกร้องต่อบริษัทฯ
๑. บริษัทฯ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ ทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชน อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว
๒. บริษัทฯ ต้องเสนอแผนและวิธีการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั้งระยะสั้นและ ระยะยาวต่อสาธารณะ โดยต้องจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน
บริษัทฯ ต้องชี้แจงสาเหตุของการรั่วไหลของน้ำมันดิบและปริมาณรั่วไหลที่แท้จริงต่อ สาธารณะ รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนที่อาจได้รับจากน้ำมันดิบและสารเคมีที่ใช้ใน การแก้ไขปัญหา พร้อมเสนอมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก รวมทั้งต้องเสนอแผนและมาตรการที่เป็นระบบในการแก้ไขปัญหาหากเกิดกรณีน้ำมัน ดิบรั่วไหลอีกในอนาคต
ข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
๑. หน่วยงานรัฐต้องให้ข้อมูลต่อสาธารณะ เกี่ยวกับผลกระทบของน้ำมันดิบและสาร เคมีที่ใช้ในการสลายน้ำมันดิบ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชน
๒. หน่วยงานรัฐต้องควบคุมตรวจสอบ ให้แผนและมาตรการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบที่เกิดขึ้นของบริษัทฯ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ และต้องควบคุมตรวจสอบให้บริษัทฯ เสนอมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาการรั่วไหลเกิดขึ้นอีก รวมทั้งเสนอแผนและมาตรการที่เป็นระบบในการจัดการปัญหาหากมีการรั่วไหลของ น้ำมันดิบเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการที่ประกอบด้วยนักวิชาการอิสระ ที่หน่วยรัฐตั้งขึ้น ตลอดจนต้องควบคุมตรวจสอบให้มีการดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด
๓. หน่วยงานรัฐต้องควบคุมตรวจสอบ ให้บริษัทฯ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับสาเหตุของการรั่วไหลของน้ำมันดิบ ตลอดจนแผนและมาตรการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว
๔. หน่วยงานรัฐต้องเร่งประเมิน ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน เพื่อดำเนินการให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวอย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว
๕. หน่วยงานรัฐต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนถึงสาเหตุและปริมาณที่แท้จริงของ น้ำมันดิบที่รั่วไหล เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่ง กับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องปรามมิให้การกระทำผิดเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
๖. หน่วยงานรัฐต้องจัดทำแผน ป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการจัดการปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันในอนาคต โดยเร่งด่วน
พวกเราเห็นว่ากรณีท่อขนส่งน้ำมัน รั่วไหลลงสู่ทะเลในครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงที่เกิดจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง สังคมไทยต้องเรียนรู้และร่วมกันเรียกร้องให้ภาคอุตสาหกรรมต้องแสดงความรับ ผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ด้วยการลงทุนมากขึ้นกับมาตรการในเชิงป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อสังคมและสิ่ง แวดล้อม หากภาคอุตสาหกรรมใดไม่ประสงค์ที่จะลงทุนเพื่อป้องกันปัญหา ก็คงถึงเวลาที่รัฐและสังคมต้องทบทวนว่าควรจะอนุญาตให้มีอุตสาหกรรมดังกล่าว ในประเทศไทยอีกต่อไปหรือไม่ เพราะกิจการโรงงานอุตสาหกรรมใด ๆ ถ้าจำเป็นต้องมีอยู่ ก็ต้องดำเนินไปในลักษณะสอดคล้องกับความมั่นคงของของมนุษย์และระบบนิเวศ เนื่องจากไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ธุรกิจ จนต้องแลกด้วยสุขภาวะและชีวิตมนุษย์ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างสูงสุดของ มนุษย์
"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ในฐานะผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมที่วันนี้ได้รับการยอมรับในระดับโลก มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการสำรวจและผลิต รวมถึงมองทิศทางในธุรกิจสำรวจและผลิตที่อาจจะต้องเผชิญกับการต่อต้าน และแนวโน้มสัมปทานปิโตรเลียมใหม่ ครั้งที่ 21 จะเป็นอย่างไร
กรณีน้ำมันรั่วที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบความเชื่อมั่นแน่นอน หน้าที่ของผู้ดำเนินการก็จะต้องแก้ไขที่ต้นตอของปัญหาว่าเกิดจากอะไร มีกระแสว่าต้องการให้กำหนดห้ามการโหลดน้ำมันในทะเล แต่อย่าลืมว่าคนได้รับผลกระทบก็คือประชาชนในฐานะผู้ใช้พลังงาน
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเกิดปัญหาแล้วต้องยกเลิกวิธีนี้เลย มันเหมือนกับการที่เรากินส้มตำแล้วท้องเสีย แล้วต้องเลิกกินส้มตำเลยหรือไม่ ต้องไปดูว่าท้องเสียเป็นเพราะอะไร แล้วแก้ปัญหาให้ถูกจุดมากกว่า วันนี้ทั้งภาครัฐและผู้ดำเนินการในธุรกิจนี้ทั้งหมดกำลังศึกษากันว่าเกิด ขึ้นได้อย่างไร และจะมีวิธีป้องกันอย่างไร
ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับมา
ปตท.สผ.ตรวจสอบขั้นตอนการโหลดน้ำมันในอ่าวไทยทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นก๊าซธรรมชาติ และจะมีคอนเดนเสตด้วยส่วนหนึ่ง ดำเนินการของ ปตท.สผ. คือ 1) ท่ออ่อนน้ำมันจะเป็นแบบ 2 ชั้น ตามที่กำหนด แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้ต้องพิจารณาสเป็กท่อน้ำมันใหม่ให้ดีขึ้น แม้ว่าของเดิมจะค่อนข้างแข็งแรงมั่นคงอยู่แล้วก็ตาม 2) กระบวนการโหลดน้ำมันที่เกิดขึ้น 4 วัน/ครั้งนั้น เมื่อโหลดน้ำมันเสร็จแล้วท่ออ่อนน้ำมันที่ถูกออกแบบให้ม้วนได้จะม้วนกลับ เก็บไว้บนเรือ เพื่อลดความเสี่ยงให้กับท่อที่อาจจะเกิดการกระแทกได้ และที่สำคัญจะไม่มีข้อต่อเชื่อมที่อาจจะเกิดรั่วได้
สำหรับอายุใช้งาน ท่ออ่อนม้วนเก็บได้นี้ใช้งานได้ 7 ปี และที่ใช้ในปัจจุบันก็ผ่านมาเพียง 3 ปีเท่านั้น จะเปลี่ยนท่อใหม่ทุก 6 ปี ยิ่งทำให้ ปตท.สผ.เชื่อมั่นว่า ระบบท่อน้ำมันของ ปตท.สผ.มีสเป็กที่เหมาะสม
กระทบการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมใหม่
หากไม่สามารถเปิดสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศใหม่ได้ อาจต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างเดียว และอาจจะไม่มีความมั่นคงเพียงพอ เพราะการนำเข้าไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด อาจเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น เรือขนส่งถูกยึด ถูกปล้น เกิดสงคราม เรือมาไม่ได้ ภัยพิบัติต่าง ๆ ในประเทศก็ไม่มีพลังงานใช้ จึงต้องเข้าใจว่าการตัดสินใจอย่างไรมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่
ช่วงที่ผ่านมาของ ปตท.สผ.
โฟกัสในช่วงปีนี้ จุดเด่นคือการผลิตในแหล่งสิริกิติ์ (S1) กำลังผลิตที่ 34,000 บาร์เรล/วัน และครึ่งปีนี้กำลังผลิตจะลดลงมาแตะที่ 32,000 บาร์เรล/วัน รวมถึงการ Start up ของแหล่งมอนทารา ในประเทศออสเตรเลียที่ดีเลย์จากกรณีไฟไหม้และน้ำมันรั่ว ผลิตน้ำมันได้ 10,000 บาร์เรล/วัน และเตรียมเชื่อมโยงกับหลุมเจาะใหม่ ๆ ฉะนั้น การผลิตจะเพิ่มขึ้นมาได้อีก 30,000 บาร์เรล/วัน เป็นบทพิสูจน์ของการเข้าไปลงทุนในออสเตรเลียด้วยการไปซื้อกิจการและเข้าไป ดำเนินการแทน
ประสบการณ์จากแหล่งมอนทารา กรณีน้ำมันรั่วลงทะเล 2,000 บาร์เรลที่ผ่านมานั้น ปตท.สผ.ประสานงานกับรัฐบาลออสเตรเลียมาตลอด และได้นำบทเรียนนั้นมาเป็นมาตรฐานการพัฒนาแหล่งสัมปทานทั้งหมดของ ปตท.สผ. จากที่ต้องถูกรัฐบาลออสเตรเลียมอนิเตอร์การทำงานมาตลอด 3 ปี จนวันนี้เขาพอใจในสิ่งที่เราปรับปรุงดูแล จึงหยุดมอนิเตอร์การทำงานของ ปตท.สผ.ในที่สุด ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า การแก้ปัญหาของเราสร้างความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือกลับมาได้
โฟกัสแหล่งเมียนมาร์-โมซัมบิก
ปตท.สผ.ลงทุนสำรวจมากในเมียนมาร์รวม 12 แปลงสำรวจ เช่น แปลง M3, M9, M11, MD7, MD8 และที่ค่อนข้างคืบหน้าอีกคือ แหล่งซอติก้าที่กำลังพัฒนา และตอนนี้กำลังก่อสร้างแท่นผลิตต่าง ๆ เพิ่มเติม คาดว่าปลายปีนี้ต้นปีหน้าจะเริ่มผลิตแล้ว เป็นอีกโครงการที่ ปตท.สผ.เข้าไปทำตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อแหล่งซอติก้าเริ่มผลิต จะเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตจากเมียนมาร์เป็น 340,000 บาร์เรล หรือคิดเป็น 30% และพอร์ตของ ปตท.สผ.จะสมบูรณ์ คือเป็นทั้งผู้พัฒนาและผลิต ส่วนแปลง M3 เตรียมเจาะหลุมประเมินผลอีก 4 หลุมว่าจะมีปริมาณมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะหลุมที่ 4 กำลังดูว่าศักยภาพเป็นอย่างไร ซึ่งแปลง M3 นี้ ทั้ง 100% จะป้อนดีมานด์ของเมียนมาร์ ส่วนในแอฟริกาใต้คือในแหล่งโรวูมา 1 ที่
ปตท.สผ.เข้าไปถือหุ้นในบริษัทโคฟ เอนเนอร์ยี่ ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปี 2562 รวมถึงโครงการออยล์ แซนด์ (KKD) ในประเทศแคนาดา ผลิตอยู่ 14,000 บาร์เรล/วัน
แหล่งบงกชจะครบอายุสัมปทาน
ในปี 2565 สัมปทานจากแหล่งบงกชจะต้องคืนให้กับรัฐ
แต่เชื่อว่ายังมีปริมาณสำรองอยู่ ซึ่งการเตรียมจะต้องเร่งก่อนถึงช่วงนั้น 5-7 ปี ฉะนั้น ภาครัฐจะต้องชัดเจนใน 2 เรื่อง คือ 1) สัมปทานกลับคืนไปที่รัฐ หรือ 2) เปิดให้ผู้รับสัมปทานรายใหม่มาทำ
แต่ที่ ปตท.สผ.มองแนวทางที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศ คือ ให้เจ้าของสัมปทานรายเดิมทำต่อ รัฐอาจจะต้องพิจารณาว่าสิ่งที่มีเหลือในแหล่งมากน้อยเพียงใด ประโยชน์กลับมาที่รัฐจะเป็นอย่างไร เพื่อความเหมาะสม
เป้าหมายและแผนลงทุน 5 ปี
วันนี้ผลิตอยู่ 340,000 บาร์เรล/วัน ปตท.สผ.ตั้งเป้าในปี 2563 จะเพิ่มการผลิตเป็น 600,000 บาร์เรล/วัน ปัจจุบันเป็นการผลิตจากในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20% หลังจากในปี 2563 จะเปลี่ยนเป็นในประเทศแค่ 40% และจะเพิ่มจากต่างประเทศเป็น 60% นโยบายจากนี้จะเน้นในทวีปแอฟริกา เพราะโอกาสค่อนข้างมาก เช่น โมซัมบิกที่ ปตท.สผ.เป็นทั้งนักลงทุน และเข้าไปช่วยพัฒนาการใช้ทรัพยากรประเทศของเขาให้เกิดประโยชน์เต็มที่ด้วย และหากว่ามีโอกาสเข้าไปแบบ Producing Asset ที่สามารถทำรายได้และสร้างปริมาณสำรองได้ทันที ก็เป็นโอกาสที่ ปตท.สผ.สนใจ
สำหรับแผนลงทุน 5 ปีนั้นอยู่ระหว่าง Revision การลงทุนใหม่ ตัวเลขจะสรุปปลายปีนี้ แต่เชื่อมั่นว่าจะลงทุนมากกว่าที่วางไว้เดิม คือ 25,000 ล้านเหรียญ หรือปีละ 5,000 ล้านเหรียญ และของเดิมยังไม่รวมการลงทุนในโมซัมบิก
ประธาน บอร์ด PTTGC คาดสาเหตุเบื้องต้นน้ำมันรั่วในทะเลจังหวัดระยอง เกิดจากท่อน้ำมันอ่อนที่อยู่ใต้ทะเลเกิดรั่ว พร้อมยืนยัน เร่งสลายคราบให้หมดใน3 วัน รวมถึงสรุปสาเหตุได้ใน 1 สัปดาห์
นาย ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยถึงสาเหตุท่อรับน้ำมันดิบรั่วในทะเลที่จังหวัดระยอง ว่า ขณะนี้สามารถควบคุมปริมาณน้ำมันที่ไหลลงทะเลได้แล้ว แต่การกำจัดคราบน้ำมันดิบนั้น ต้องระดมเจ้าหน้าที่ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงหน่วยงานจากประเทศสิงคโปร์ มาร่วมดำเนินการ โดยในเบื้องต้นคาดว่า เกิดจากท่อน้ำมันอ่อนที่รับน้ำมันจากเรือ ส่งมายังคลังน้ำมันเกิดรั่ว จึงได้ทำการปิดวาวล์ท่อทันที แต่ยังมีน้ำมันที่ค้างในท่อ ทำให้น้ำมันไหลลงสู่ทะเลมีประมาณ 50,000 ลิตร และขณะนี้ได้ขจัดคราบน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดว่าภายใน 3 วันจากนี้ การกำจัดคราบน้ำมันดิบจะแล้วเสร็จ และภายใน 1 สัปดาห์จะสามารถสรุปสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงยืนยันว่า เหตุดังกล่าวทางบริษัทจะรับผิดชอบทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ และพยายามทำให้สิ่งแวดล้อมกลับมาดีเช่นเดิม
ขณะเดียว กัน นายประเสริฐ ตั้งข้อสงสัยจะต้องทำการตรวจสอบน้ำมันที่พบในบริเวณเกาะเสม็ด ว่าเป็นน้ำมันชนิดเดียวกับที่รั่วออกมาหรือไม่ เนื่องจากในช่วงเวลา 22.00 น. ของเมื่อคืนนี้ ได้รับรายงานว่า กำจัดน้ำมันหมดแล้ว แต่ช่วงเช้ากลับพบกลุ่มคราบน้ำมันลอยบริเวณดังกล่าว และจะทำการตรวจสอบท่ออ่อนที่เกิดรั่ว ว่ามาจากสาเหตุอะไร เนื่องจากเป็นท่อใหม่ และมีอายุการใช้งานไม่มาก
4. หายนภัยน้ำมันรั่ว "ทะเลโลก"รับเคราะห์ ข่าวสด ต่างประเทศ
เหตุการณ์ท่อ ส่งน้ำมันของพีทีที เคมิคอล กรุ๊ป รั่วไหลในอ่าวไทย ทำให้หลายหน่วยงานเร่งฟื้นฟูชายหาดของเกาะเสม็ดจากคราบน้ำมัน พร้อมประเมินผลกระทบทางการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ การประมง และสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่ประสบภัยมาตลอดสัปดาห์นี้
ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ล้วนตอกย้ำถึงภัยจากมนุษย์ที่ส่งผลต่อธรรมชาติทางทะเลที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ในนานาประเทศ สำหรับเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในต้นศตวรรษที่ 21 นี้ คือกรณีน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโก เมื่อต้นปี 2553 ซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดของสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้น ณ แท่นขุดเจาะน้ำมันชื่อ "ดีปวอเตอร์ ฮอร์ไรซอน" อันอยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ของ บริษัทบริติช ปีโตรเลียม หรือ บีพี บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ควบกิจการโดยบริษัทน้ำมันอเมริกันตั้งแต่ปี 2541 ดีปวอเตอร์ปฏิบัติงานผ่านบริษัททรานส์โอเชียนอีกต่อหนึ่ง และมีบริษัทฮัลลิเบอร์ตันเป็นผู้ออกแบบด้านเทคโนโลยี แท่นขุดเจาะขนาดยักษ์แห่งนี้ถือเป็น สุดยอดนวัตกรรมด้านพลังงานฟอสซิลในขณะนั้น มีกำลังการผลิตมหาศาล โดยขุดเจาะน้ำมันผ่านท่อที่ดำดิ่งลงไปสู่ก้นทะเล ณ ความลึกประมาณ 5.4 กิโลเมตร วิศวกรใช้วิธีก่อสร้างโดยหุ่นยนต์บังคับจากผิวน้ำ ท่อส่งน้ำมันมีอุปกรณ์ขนาดเท่ากับตึก 3 ชั้นติดอยู่ โดยเป็นวาล์วปิด-เปิดช่องทางเดินของน้ำมัน จะปิดได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 เม.ย. 2553 มีแก๊สและเชื้อเพลิงจำนวนหนึ่งรั่วไหลเข้าไปในท่อเดินน้ำมัน จนเกิดระเบิดและเพลิงไหม้ลุกลามไปทั่วแท่นขุดเจาะ มีผู้เสียชีวิตในเหตุนี้ 11 ราย ขณะที่ผู้รอดชีวิตพยายามปิดวาล์วฉุกเฉิน แต่วาล์วกลับไม่ทำงาน ต่อมาแท่นขุดเจาะที่ไฟลุกท่วมก็จมลงสู่ทะเล และน้ำมันหลายหมื่นแกลลอนก็ทะลักออกมาจากท่อส่งอย่างไม่หยุดยั้ง!! ในช่วงแรกนั้น ผู้บริหารของบริษัทบีพีพยายามกลบเกลื่อนข่าวการรั่วไหลของน้ำมันจากดีปวอ เตอร์ โดยระบุว่าเป็นเพียงจุดเล็กๆ กลางทะเล และกล่าวว่ามีน้ำมันไม่มากรั่วไหลสู่ทะเล ขณะเดียวกันก็พยายามกันไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวบริเวณที่เกิดเหตุด้วย อีกทั้งยังตัดพ้อว่า สื่อกำลังใส่ร้ายป้ายสีบริษัทของตน ทว่าไม่กี่วันถัดมา สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำมันได้รั่วไหลไปทั่วชายฝั่งตอนใต้ของสหรัฐ ซึ่งเป็นแหล่งประมงสำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายชนิดอีกด้วย ตั้งแต่ปลา แพลงตอน โลมา เต่าทะเล และสัตว์น้ำอื่นๆ ไปจนถึงนกหลายชนิดซึ่งมีถิ่นที่อยู่ตามบึงหรือที่ลุ่มชายฝั่งหลายร้อยตาราง กิโลเมตร ที่ถูกปกคลุมไปด้วยคราบน้ำมันที่รั่วไหล
|