Blog categories

Latest posts

ทนายพงศ์รัตน์ รัตนพงศ์ น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง

.

ฎีกาที่ 1014/2529 ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยโดยเสน่หา เป็นที่ดินมือเปล่า ซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์ยกให้จำเลย จึงเป็นการสละเจตนาครอบครอง (การครอบครองของโจทก์จึงสิ้นสุดลง) จำเลยผู้รับให้ จึงได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง แต่โจทก์ มีสิทธิเรียกคืนที่ดินได้ เมื่อจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้

.

.

" ให้ " หลักกฎหมาย , 5 ฎีกาสำคัญ และ 3 คำถาม

.

                    ก่อนถึงวันนี้ (8 เมษายน 2556) ทีมทนายความ Thai Law Consult (TLC) ได้ตอบคำถามประชาชนเสมอ เรื่องการ "ให้" ว่า ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ และมีคำถามยอดฮิตว่า จะถอนคืนการให้ หรือให้แล้วจะเอากลับคืนได้หรือไม่

                    เพียงแค่ต้นเดือนเมษายน 2556 e-mail ของ Thai Law Consult ก็มีคำถามเรื่องนี้จากประชาชนถึง 3 ราย จึงเรียบเรียงเรื่องมาเสนอไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษากฎหมายของประชาชนครับ

 

หลักกฎหมาย ป.พ.พ. ลักษณะ 3 ให้ (มาตรา 521 - 536)

ป.พ.พ. มาตรา 521 "อันว่าให้นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนโดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับ และผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น

ป.พ.พ. มาตรา 523 "การให้นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้

ป.พ.พ. มาตรา 525 "การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่า ย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์ โดยไม่พักต้องส่งมอบ

ป.พ.พ. มาตรา 526 "ถ้าการให้ทรัพย์สิน หรือคำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้น ได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับ ท่านว่า ผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นก็ได้ แต่ไม่ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยอีกได้

ป.พ.พ. มาตรา 528 "ถ้าทรัพย์สินซึ่งให้นั้นมีค่าภาระติดพัน และผู้รับละเลยเสียไม่ชำระค่าภาระติดพันนั้นไซร้ ท่านว่าโดยเงื่อนไขอันระบุไว้ในกรณีสิทธิเลิกสัญญาต่างตอบแทนกันนั้น ผู้ให้จะเรียกให้ส่งทรัพย์สินที่ให้นั้นคืนตามบทบัญญัติว่าด้วย คืนลาภมิควรได้นั้นก็ได้ เพียงเท่าที่ควรจะเอาทรัพย์นั้นไปใช้ค่าภาระติดพันนั้น

          แต่สิทธิเรียกคืนอันนี้ ย่อมเป็นอันขาดไป ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้มีสิทธิจะเรียกให้ชำระค่าภาระติดพันนั้น

ป.พ.พ. มาตรา 529 "ถ้าทรัพย์สินที่ให้มีราคาไม่พอกับการที่จะชำระค่าติดพันนั้นไซร้ ท่านว่าผู้รับจะต้องชำระแต่เพียงเท่าราคาทรัพย์สินนั้น

 

ทบทวน

  • การให้อสังหาริมทรัพย์ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้น ไม่สมบูรณ์ (มาตรา 525 ประกอบ มาตรา 456) ดังนั้น สัญญาให้ที่ดิน ที่มีข้อความว่า "จะนำไปจดทะเบียนในภายหลัง" จึงบังคับไม่ได้ (ฎีกาที่ 1931/2537)
  • อย่างไรก็ดี หากสัญญานั้น มิใช่สัญญาจะให้ แต่เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่บังคับกันได้ แม้จะระบุว่าเป็นสัญญาให้ ก็ฟ้องร้องบังคับกันได้ (ฎีกาที่ 3421/2545)****
การให้ทรัพย์สินที่เกิดจากข้อตกลง ระหว่างสามีภริยา กับบุคคลภายนอก ไม่ใช่เป็นสัญญาให้ จึงไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (ฎีกาที่ 38/2537)****

 

ข้อสังเกต    สัญญาแบ่งทรัพย์สิน ในการหย่า ระหว่างสามีภริยา มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน ข้อสัญญาที่ยกทรัพย์สินให้บุคคลภายนอก จึงเกิดจากสัญญาดังกล่าว ไม่ใช่สัญญาให้ ไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 525 เรื่องนี้ โจทก์จึงฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่บุตรผู้เยาว์ และให้จำเลยออกจากที่ดินและบ้านได้ (ดูฎีกา 2942/2524 ประกอบ ฎีกา 38/2537)

ฎีกาที่ 2942/2524 การที่โจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยทั้ง 7 ซึ่งเป็นบุตร เป็นการให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับ จำเลย ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยทั้ง 7 และต่อมาศาลพิพากษาให้โจทก์โอนที่พิพาทอีก 2 แปลง ใส่ชื่อจำเลยทั้ง 7 ลักษณะการให้ของโจทก์ มิใช่เป็นการให้โดยเสน่หา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกขอถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยทั้ง 7 ผู้รับ ประพฤติเนรคุณ

  • สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน เป็นอสังหาริมทรัพย์ การยกให้จึงต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนด้วย แต่ถ้ายกสิ่งปลูกสร้างให้ โดยให้ผู้รับรื้อถอนออกไป ถือว่าเป็นการให้สังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน (ฎีกาที่ 499/2491)
  • การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (ฎีกาที่ 4377/2549)
  • การให้ย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ (ป.พ.พ. มาตรา 523) ฎีกาที่ 8530/2544

 

การให้ที่ดินมือเปล่า มีข้อสังเกต ตาม A และ B คือ

 

(A)   การให้ที่ดินมือเปล่า แม้มิได้จดทะเบียนการให้ จึง ไม่สมบูรณ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525 ก็ตาม แต่ถ้าผู้ให้ได้มอบที่ดินนั้นให้แก่ผู้รับแล้ว ก็ถือว่า ผู้ให้ได้สละเจตนาการครอบครองที่ดินแล้ว จึงสมบูรณ์โดยการส่งมอบได้ (ฎีกาที่ 853/2508)

 

จำ    ฎีกา ที่ 853/2508 ใช้หลักการเดียวกับสัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่านั่นเอง คือ สมบูรณ์โดยการส่งมอบได้ โดยยังถือว่าเป็นการให้นั่นเอง ผู้ให้จึงมีสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินได้ ถ้าผู้รับประพฤติเนรคุณ ดูฎีกาที่ 1014/2529****

ฎีกาที่ 1014/2529 ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยโดยเสน่หาเป็นที่ดินมือเปล่า ซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์ยกให้จำเลย จึงเป็นการสละเจตนาครอบครอง การครอบครองของโจทก์ผู้ให้ จึงสิ้นสุดลง จำเลยผู้รับ ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง แต่โจทก์มีสิทธิเรียกคืนที่ดินได้ เมื่อจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้

 

(B)   การยกที่ดินมือเปล่าให้ โดยผู้ให้ประสงค์จะยกให้โดยทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น ดังนั้น ตราบใดที่ยังมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การยกให้ก็ยังไม่สมบูรณ์ และไม่อาจสมบูรณ์โดยการส่งมอบ ฎีกา 2959/2536***

 

ข้อสังเกต ป.พ.พ. มาตรา 523   VS   ป.พ.พ. มาตรา 525

  • การให้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ป.พ.พ. มาตรา 523
  • แต่การให้อสังหาริมทรัพย์ จะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงจะสมบูรณ์โดยไม่ต้องส่งมอบ ป.พ.พ. มาตรา 523

 

Thai Law Consult ขอกล่าวถึงฎีกาที่ 3680/2535 ซึ่งเป็นฎีกาสำคัญ****

ซึ่งได้เน้นหลักการไว้ดังนี้

  • ในกรณีที่มีผู้อื่นครอบครองทรัพย์สินที่ให้แทนผู้ให้อยู่แล้ว การส่งมอบอาจกระทำโดยการแสดงเจตนา ตาม ป.พ.พ. 1379 ก็ได้
  • และในทำนองเดียวกัน ถ้าทรัพย์นั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์ และมีผู้อื่นมีชื่อในทะเบียน ถือกรรมสิทธิ์แทนผู้ให้อยู่ การยกให้ ก็กระทำได้โดยผู้ให้สั่งให้ผู้แทนยึดถือทรัพย์สินแทนผู้รับ ตาม ป.พ.พ. 1380 วรรค 2     ดังนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนการยกให้ ตาม ป.พ.พ. 525 อีก

           Thai Law Consult นำเนื้อหามาจากหนังสือ แพ่งพิสดาร หรือจูริส เล่ม 2 ฉบับพิมพ์ปี 2552 ของอาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้ศึกษากฎหมายทุกระดับ นิยมใช้เป็นตำราคู่กาย ด้วยมีเนื้อหาครบถ้วน ราคาขายไม่แพง

 

ทีมทนาย Thai Law Consult ได้รับ e-mail ของประชาชนจำนวน 3 ราย ที่สอบถามเรื่อง "ให้" จึงขอตอบคำถามเบื้องต้นดังนี้

e-mail 1    คำถามจากคุณจรรยา ร้านทองอุบลราชธานี ว่า สามีเก่า จะฟ้องถอนคืนการให้จากบุตร 2 คน เพราะเหตุประพฤติเนรคุณได้หรือไม่

คำตอบ      แม้ข้อเท็จจริง ตามที่ให้มายังไม่ชัดมากนัก แต่ใกล้เคียงกับฎีกา 38/2537 และ 2942/2524 ซึ่งวินิจฉัยว่า ไม่ใช่เป็นสัญญาให้โดยเสน่หา สามีเก่าจึงฟ้องถอนคืนการให้ เพราะเหตุประพฤติเนรคุณไม่ได้

e-mail 2     คำ ถามจากอดีตคุณนายผู้ว่าเพชรบูรณ์ ว่ายกที่ดิน น.ส.3ก 2 แปลง ให้ลูกชาย และลูกชายได้เข้าครอบครองแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการให้ ตั้งใจจะไปจดทะเบียนการให้ภายหลัง ต่อมาลูกชายมีเมีย ไม่ค่อยมาดูแลแม่ และเมียของลูกชายมีปากเสียงกับแม่รุนแรงหลายครั้ง จึงอยากถอนคืนการให้ แล้วจะทำพินัยกรรมยกที่ดิน น.ส.3ก ทั้ง 2 แปลงนี้ ให้ลูกสาวคนสุดท้อง ที่ฐานะด้อยกว่าลูกคนอื่นๆ ซึ่งได้ดูแลช่วยเหลือแม่มาตลอด

คำตอบ      มีข้อเท็จจริง ที่ยังสงสัย ต้องสอบถามกันอีกมาก แต่ในเบื้องต้น ข้อเท็จจริงที่ให้มา ใกล้เคียงกับฎีกาที่ 2959/2536 เมื่อแม่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนการให้ในภายหลัง ขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนการให้ แม้ลูกชายจะเข้าครอบครองที่ดิน น.ส.3ก (ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็นที่ดินมือเปล่า) ก็เป็นการครอบครองแทนแม่อยู่ การที่แม่จะทำพินัยกรรมยกที่ดิน น.ส.3ก ให้ลูกสาวคนสุดท้อง ก็ทำได้ โดยไม่ต้องฟ้องขอถอนคืนการให้ เพราะที่ดินยังเป็นของแม่ ลูกชายแค่ครอบครองแทน (ควรอ่านฎีกาที่ 1014/2529 ประกอบด้วย)

e-mail 3      คำ ถามจาก นายกเทศมนตรีเทศบาล ตำบลหนึ่ง จากจังหวัดกาญจนบุรี เรื่องทายาทคนที่ 3 ของเถ้าแก่พันล้านทำสัญญายกทรัพย์สินส่วนของตนให้น้องสาว ซึ่งเป็นหุ้นส่วนโรงงานน้ำตาล โดยพี่ชายคนโต ผู้จัดการมรดก เถ้าแก่พันล้าน ลงนามรับทราบการยกให้แล้ว ถามว่า ต้องไปจดทะเบียนยกให้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525 อีกหรือไม่

คำตอบ       ยังมีข้อเท็จ จริงอีกมาก ที่ต้องสอบถามเพราะเกี่ยวโยงคดีมรดกเถ้าแก่พันล้าน แต่เบื้องต้นขอตอบ ตามฎีกาที่ 3680/2535 ว่าไม่ต้องจดทะเบียนครับ

 

ทีมงาน Thai Law Consult ได้นำฎีกาเต็ม    

38/2537 และ 2942/2524           - ตอบคำถามที่ 1

2959/2536 และ 1014/2529       - ตอบคำถามที่ 2

3680/2535                            - ตอบคำถามที่ 3

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2537

ป.พ.พ. มาตรา 374, 521, 525, 1532

           การยกให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่จะตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามนัยประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 521 จะต้องมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรืออีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับ บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลย นอกจากโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาซึ่งกันและกันแล้วยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือ แทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน 2 แปลง และบ้านอีก 1 หลัง ตกเป็นของผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา 

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์และจำเลยเป็นสามีภรรยากัน มีบุตรด้วยกัน2 คน คือเด็กหญิงผกามาศและเด็กชายประธาน มณีวงศ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2530 โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ในการตกลงหย่าขาดจากกันดังกล่าว โจทก์และจำเลยทำบันทึกหลังทะเบียนการหย่าตกลงมอบทรัพย์สินให้แก่บุตรทั้งสอง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 6457 ตำบลกังแอน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 80ตารางวา บ้านเลขที่ 299 หมู่ที่ 8 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวและที่ดินสวนตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลนาบัว อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ หลังจากตกลงกันแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงโจทก์บอกกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินตามฟ้องให้แก่เด็กหญิงผกามาศ และเด็กชายประธานมณีวงศ์ ภายใน 7 วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้ขับไล่จำเลย ออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว

          จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกหลังทะเบียนการหย่าจริง ในเรื่องทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกันก็ได้แบ่งกันตามบันทึกหลังทะเบียนการ หย่าข้อ 2 แล้วส่วนบันทึกหลังทะเบียนการหย่าข้อ 3 เป็น ทรัพย์สินของจำเลย จำเลยได้อาศัยทำกินตลอดมาเพื่อหาเงินส่งไปอุปการะบุตรของจำเลย การที่โจทก์ในฐานะผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์หรือในฐานะ ผู้จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินของจำเลยให้บุตรตาม บันทึกหลังทะเบียนการหย่าข้อ 3 เป็นการไม่ชอบและไม่เป็นธรรมแก่จำเลย การให้ตามบันทึกหลังทะเบียนการหย่าข้อ 3 ไม่ได้จดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลผูกพันจำเลย อนึ่ง บันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ระบุเวลาไว้ โจทก์ไม่บอกกล่าวก่อน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะเป็นการฟ้องเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่เด็กหญิงผกามาศ และเด็กชายประธาน มณีวงศ์และให้จำเลยออกไปจากบ้านและที่ดินตามฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

          จำเลยอุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

          จำเลยฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การยกให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่จะตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 จะต้องมีคู่สัญญา2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรืออีก ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้รับ แต่บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมาย เลข 3 หรือเอกสารหมาย จ.3 นอกจากโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาซึ่งกันและกันแล้ว ยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์แห่งสัญญา ระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือแทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน 2 แปลง และบ้านอีก 1 หลัง ตกเป็นของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากันสัญญาดัง กล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374มิใช่สัญญาให้จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่จำเลยฎีกากล่าวคือ แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ได้

          พิพากษายืน

( สุรินทร์ นาควิเชียร - นาม ยิ้มแย้ม - สุวรรณ ตระการพันธุ์ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2942/2524

ป.พ.พ. มาตรา 521, 850, 852

          การที่โจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลย ซึ่งเป็นบุตรเป็นการให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาท ระหว่างโจทก์กับภริยาซึ่งเป็นมารดาของจำเลยและต่อมาเมื่อโจทก์ไม่โอนที่ พิพาทอีกสองแปลงตามคำพิพากษาตามยอมศาลก็พิพากษาให้โจทก์โอนใส่ชื่อจำเลยเป็น เจ้าของลักษณะการให้ของโจทก์ไม่ใช่เป็นการให้โดยเสน่หาโจทก์จึงไม่มีสิทธิ ฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณ 

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่ดิน 3 แปลงให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นบุตรต่อมาโจทก์ยากจนลง จำเลยไม่ช่วยเหลือและยังด่าว่าโจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยทุกคนโอนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวคืนให้โจทก์

          จำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า โจทก์ไม่ยากไร้และจำเลยไม่เคยด่าว่าโจทก์จำเลยได้รับที่ดินพิพาทมาตามสัญญา ประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยและศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์ โอนให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดและได้มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์เรียกถอนคืนการให้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงบางประการแล้วสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ให้ที่พิพาททั้งสามแปลงแก่จำเลยทั้งเจ็ดเป็นการให้ตามสัญญาประนี ประนอมยอมความ เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับนางสังวาลย์และต่อมาเมื่อโจทก์ไม่โอนที่ พิพาทอีกสองแปลงตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งเจ็ด จนมีการฟ้องบังคับกัน ศาลฎีกาก็พิพากษาให้โจทก์โอนที่พิพาทอีกสองแปลงใส่ชื่อจำเลยทั้งเจ็ดเป็น เจ้าของลักษณะการให้ของโจทก์จึงไม่ใช่เป็นการให้โดยเสน่หา ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 คดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป

          พิพากษายืน 

( สง่า อำพันแสง - ไพบูลย์ ไวกาสี - ประสาท บุณยรังษี )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2959/2536

ป.พ.พ. มาตรา 525
ป.ที่ดิน มาตรา 4 ทวิ 

          พระภิกษุ ป. ทำหนังสือยกที่ดินให้โจทก์และ พ. มารดาจำเลยคนละครึ่งโดยมอบอำนาจให้โจทก์ยื่นคำร้องขอออก น.ส.3 รังวัดแบ่งแยกให้แก่โจทก์และจดทะเบียนโอนส่วนที่เหลือให้แก่ พ. ต่อมาได้มีการรังวัดแล้ว แต่ยังไม่ทันแบ่งแยก ป. มรณภาพเสียก่อน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อนำมาประกอบกับข้อความในพินัยกรรมของ ป. ที่ยกเลิกการยกที่พิพาทแก่โจทก์ แสดงว่า ป. ประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลที่ดิน มาตรา 4 ทวิเมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย

________________________________

          โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า พระครูประสิทธิ์วิทยาคมยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่ง ของที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 3032 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศลจังหวัดศรีสะเกษ โจทก์ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตาม น.ส.3 ก.ดังกล่าวและทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของพระครูประสิทธิ์วิทยาคมทำ นิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

          จำเลยให้การว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของพระครูประสิทธิ์ วิทยาคมตามพินัยกรรมได้จดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 3032 เป็นของจำเลยแล้ว จำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 3032 โดยได้รับมรดกตามพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์วิทยาคม ไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7 ไร่เศษเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3032 ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เดิมมีชื่อพระครูประสิทธิ์วิทยาคมเป็นเจ้าของ ต่อมาหลังจากพระครูประสิทธิ์วิทยาคมมรณภาพแล้วได้มีการจดทะเบียนโอนรับมรดก ตามพินัยกรรมมาเป็นของจำเลย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือ ไม่ โจทก์นำสืบว่าพระครูประสิทธิ์วิทยาคมทำหนังสือยกที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวให้โจทก์และนางบุญมี เสน่นา มารดาจำเลยคนละครึ่ง โดยมอบอำนาจให้โจทก์ยื่นคำร้องขอออก น.ส.3 รังวัดแบ่งแยกให้แก่โจทก์เองและจดทะเบียนโอนส่วนที่เหลือให้แก่นางบุญมี ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ต่อมาได้มีการรังวัดแล้ว แต่ยังไม่ทันแบ่งแยก น.ส.3 ก.ฉบับใหม่ พระครูประสิทธิ์วิทยาคมมรณภาพเสียก่อน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวประกอบกับข้อความในพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์ วิทยาคมเอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.2 ที่ยกเลิกการยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แสดงว่าพระครูประสิทธิ์วิทยาคมประสงค์ จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิ กล่าวคือการให้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ ฉะนั้นเมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนพระครูประสิทธิ์ วิทยาคม มิใช่ยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของโจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อพระครูประสิทธิ์วิทยาคม ยกเลิกการให้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์และทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแทน จำเลยรับโอนมรดกที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์วิทยาคม โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องที่ดินพิพาทจากจำเลย

          พิพากษายืน 

( มงคล สระฏัน - นำชัย สุนทรพินิจกิจ - สนัด หมายสวัสดิ์ )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1014/2529

ป.พ.พ. มาตรา 531, 535, 1377
ป.วิ.พ. มาตรา 249 

          ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยโดย เสน่หาเป็นที่ดินมื่อเปล่าซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครองเมื่อโจทก์ยกให้ จำเลยจึงเป็นการสละเจตนาครอบครองการครอบครองของโจทก์ผู้ให้สิ้นสุดลงจำเลย ผู้รับให้ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองแต่โจทก์มีสิทธิเรียกที่ดินคืนได้เมื่อ จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้. ข้อที่ว่าจำเลยไม่ช่วยเหลือเลี้ยงดูโจทก์นั้นเมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์อยู่ใน ฐานะยากไร้เพียงแต่ยากจนลงเพราะชราทำมาหากินไม่ค่อยไหวเท่านั้นแม้จำเลยไม่ ได้ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าประพฤติเนรคุณต่อโจทก์. จำเลยด่าโจทก์ว่า'อ้ายชาติหมาหัวหงอกเหมือนขนหมาแล้วหน้าด้านเหมือนถนนลาด ยาง'ด่านางอุ่นภรรยาโจทก์ว่า'อีสัตว์อีเหี้ยอีแก่มึงไม่ต้องมาพูดกับกู'และ ยังกล่าวหาโจทก์ว่าจะเอาหลานสาวทำเป็นเมียคำด่าดังกล่าวเป็นคำหยาบแสดงถึง ความดูหมิ่นเหยียดหยามถือว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรงโจทก์ เรียกถอนคืนการให้ได้. จำเลยกับบุตรสาวของโจทก์แต่งงานกันมาเป็นเวลานานแล้วโจทก์เพิ่งยกที่ดินให้ จำเลยและภรรยาในภายหลังในขณะที่จำเลยและภรรยามีอาชีพและครอบครัวเป็นหลักฐาน ไม่อยู่ในสภาพที่โจทก์ผู้เป็นบิดามีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะ เลี้ยงดูและที่ดินก็มีราคาสูงจึงมิใช่เป็นการให้เนื่องในการสมรสโดยหน้าที่ ธรรมจรรยา จำเลยอ้างว่าได้จ่ายเงิน500บาทเป็นค่าที่ดินให้โจทก์แต่จำเลยมิได้ยกขึ้น เป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่เป็นเรื่องที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมา แล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ) 

________________________________

          โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ ยก ที่ดิน ตาม หนังสือ รับรอง การ ทำ ประโยชน์เลขที่ 194 จำนวน 1 แปลง ให้ แก่ จำเลย ซึ่ง เป็น บุตรเขย โดย เสน่หาต่อมา โจทก์ ยากจน ลง ไม่ มี เงิน ค่าใช้จ่าย ใน การ ดำรงชีพ จำเลยไม่ ยอม อุปการะ เลี้ยงดู โจทก์ กล่าวหา ว่า โจทก์ บุกรุก ที่ดินจำเลย และ ด่า ว่า โจทก์ ต่อหน้า บุคคล อื่น กล่าว คำหยาบ ดูหมิ่นโจทก์ อีก มาก พฤติการณ์ ของ จำเลย เป็น การ ประพฤติ เนรคุณ ต่อ โจทก์หมิ่นประมาท โจทก์ อย่าง ร้ายแรง ทำ ให้ โจทก์ เสีย ชื่อเสียง และบอก ปัด ไม่ ยอม ให้ สิ่ง ของ เลี้ยง ชีวิต แก่ โจทก์ ใน เวลา ที่โจทก์ ยาก ไร้ ซึ่ง จำเลย สามารถ จะ ให้ ได้ ขอ ให้ พิพากษา ให้ จำเลยจด ทะเบียน คืน ที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 194 ให้ แก่ โจทก์

           จำเลย ให้การ ว่า โจทก์ ยก ที่ดิน ให้ จำเลย และ บุตร สาว โจทก์เนื่อง ใน การ สมรส โดย หน้าที่ ธรรมจรรยา จะ ถอน คืน ไม่ ได้ โจทก์ยก ที่ดิน ให้ จำเลย โดย สละ การ ครอบครอง ไม่ จด ทะเบียน การ ให้ โจทก์ไม่ มี สิทธิ ฟ้อง เรียก คืน การ ให้ โจทก์ ไม่ เป็น ผู้ ยากไร้จำเลย ไม่ ได้ กล่าว คำหยาบ ดูหมิ่น โจทก์ ขอ ให้ ยกฟ้อง

           ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย จด ทะเบียน คืน ที่ดิน ตาม หนังสือรับรอง การ ทำ ประโยชน์ เลขที่ 194 ให้ แก่ โจทก์ จำนวน เนื้อที่ กึ่งหนึ่ง

           จำเลย อุทธรณ์

           ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ยืน

           จำเลย ฎีกา วินิจฉัย ว่า '...ได้ พิเคราะห์ พยาน หลักฐาน โจทก์ จำเลยโดย ตลอด แล้ว ข้อเท็จจริง ฟัง ได้ ว่า ที่ดิน โจทก์ ฟ้อง เรียก คืนเป็น ที่ดิน ที่ ยัง ไม่ มี หนังสือ สำคัญ แสดง กรรมสิทธิ์ เดิม เป็นของ โจทก์ โจทก์ ยก ให้ จำเลย ซึ่ง เป็น บุตรเขย โดย ไม่ ได้ ทำ เป็นหนังสือ และ จด ทะเบียน ต่อ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ปัญหา มี ว่า โจทก์จะ เรียก ถอนคืน การ ให้ เพราะ เหตุ ที่ จำเลย ประพฤติ เนรคุณ ได้หรือ ไม่ การ ยก ให้ ที่ดิน ซึ่ง เป็น อสังหาริมทรัพย์ ต้อง ทำ เป็นหนังสือ และ จด ทะเบียน ต่อ พนักงาน เจ้าหน้าที่ จึง จะ สมบูรณ์ ตามกฎหมาย แต่ เนื่องจาก เป็น ที่ดิน มือ เปล่า โจทก์ เจ้าของ เดิม มีเพียง สิทธิ ครอบครอง เมื่อ โจทก์ ยก ให้ จำเลย ย่อม ถือ ได้ ว่าโจทก์ ได้ สละ เจตนา ครอบครอง การ ครอบครอง ของ โจทก์ ผู้ให้ สิ้นสุด ลง จำเลย ผู้ รับ ให้ ย่อม ได้ ไป ซึ่ง การ ครอบครอง จำเลย จึง ได้ สิทธิครอบครอง ใน ที่ดิน ที่ โจทก์ ยก ให้ และ โจทก์ ผู้ ให้ มี สิทธิ เรียกที่ดิน คืน ได้ เมื่อ จำเลย ได้ ประพฤติ เนรคุณ ต่อ โจทก์ ตาม ที่กฎหมาย กำหนด ไว้

           ปัญหา ต่อไป มี ว่า จำเลย ได้ ประพฤติ เนรคุณ ต่อ โจทก์ หรือ ไม่ การประพฤติ เนรคุณ ที่ โจทก์ อ้าง มา ใน ฟ้อง คือ จำเลย ไม่ ช่วยเหลือเลี้ยงดู โจทก์ ซึ่ง มี ฐานะ ยากจน และ ได้ ด่า ว่า หมิ่นประมาท โจทก์อย่าง ร้ายแรง โจทก์ นาง อุ่น ภรรยา นางสาว ทองเปรม พยาน โจทก์ เบิกความว่า โจทก์ มี อายุ มาก แล้ว ทำกิน ไม่ไหว ฐานะ ยากจน ลง ต้อง อาศัยบุตร หลาน ช่วย ส่งเสีย เลี้ยงดู ใน ชั้นแรก จำเลย เคย ส่งเสียเลี้ยงดู บ้าง แต่ เมื่อ โจทก์ ยก ที่ดิน ให้ นางสาว ทองเปรม ผู้ เป็นหลาน จำเลย ไม่ พอใจ เลิก ส่งเสีย เลี้ยงดู โจทก์ และ ภรรยา ต่อมา เมื่อโจทก์ กั้น รั้ว ลวดหนาม ระหว่าง ที่ดิน ที่ ยก ให้ นางสาว ทองเปรมกับ ที่ดิน ที่ ยก ให้ จำเลย จำเลย ได้ ด่า โจทก์ ว่า 'อ้าย ชาติหมาหัวหงอก เหมือน ขนหมา แล้ว หน้าด้าน เหมือน ถนน ลาดยาง' ด่า นาง อุ่นภรรยาโจทก์ ว่า 'อีสัตว์ อีเหี้ย อีแก่ มึง ไม่ ต้อง มา พูด กับ กู' และกล่าวหา โจทก์ ว่า จะ เอา นางสาว ทองเปรม ทำ เป็น เมีย พิจารณา แล้วเห็น ว่า ข้อหา ว่า จำเลย ไม่ ช่วยเหลือ เลี้ยงดู โจทก์ นั้น ยัง ไม่ได้ ความ ว่า โจทก์ อยู่ ใน ฐานะ ยากไร้ เพียง แต่ มี ความ ยากจน ลงเพราะ ชรา ทำมาหากิน ไม่ ค่อย ไหว เท่านั้น แม้ จำเลย ไม่ ได้ ส่งเสียเลี้ยงดู ก็ ยัง ถือ ไม่ ได้ ว่า ประพฤติ เนรคุณ ต่อ โจทก์ ส่วน ข้อหาว่า จำเลย ได้ ด่า ว่า หมิ่นประมาท โจทก์ อย่าง ร้ายแรง นั้น โจทก์นาง อุ่น และ นางสาว ทองเปรม เบิกความ ยืนยัน ว่า จำเลย ได้ ด่า ว่าโจทก์ ด้วย ถ้อยคำ ดังกล่าว นาย เทอดชน ถนอมวงศ์ พยาน โจทก์ อีก คนหนึ่งเบิกความ ว่า เมื่อ พยาน ไป สอบ เขต ที่ดิน ที่ โจทก์ ทำ รั้ว ลวดหนามกั้น โจทก์ จำเลย ทะเลาะ วิวาท กัน จน ไม่ สามารถ รังวัด สอบเขต ได้เชื่อ ได้ ว่า จำเลย ได้ ด่า ว่า โจทก์ จริง คำด่า ดังกล่าว เป็นคำหยาบ แสดง ถึง ความ ดูหมิ่น เหยียดหยาม พยานหลักฐาน โจทก์ ฟัง ได้ว่า จำเลย หมิ่นประมาท โจทก์ ผู้ให้ อย่าง ร้ายแรง โจทก์ เรียก ถอนคืนการให้ ได้ ที่ จำเลย นำสืบ ว่า โจทก์ ยก ที่ดิน ให้ จำเลย และ ภรรยาเนื่อง ใน การ สมรส โดย หน้าที่ ธรรมจรรยา และ จำเลย ได้ ให้ เงิน500 บาท เป็น ค่า ตอบแทน นั้น ได้ความ ว่า จำเลย และ นาง อ๋อง ภรรยาแต่งงาน กัน มา นาน ประมาณ 30 ปี ที่ดิน ที่ เรียก คืน โจทก์ เพิ่ง ยกให้ ใน ภายหลัง ใน ขณะ ที่ จำเลย และ ภรรยา มี อาชีพ และ ครอบครัว เป็นหลักฐาน ไม่ อยู่ ใน สภาพ ที่ โจทก์ ผู้ เป็น บิดา มี หน้าที่ ตามธรรมจรรยา ที่ จะ ต้อง อุปการะ เลี้ยงดู ทั้ง ที่ดิน ที่ ยก ให้ ก็ มีราคา สูง จึง มิใช่ เป็น การ ให้ เนื่อง ใน การ สมรส โดย หน้าที่ธรรมจรรยา เรื่อง จ่าย เงิน 500 บาท ค่า ที่ดิน ให้ โจทก์ นั้น จำเลยไม่ ได้ ยก ขึ้น ต่อสู้ ไว้ ใน คำให้การ ไม่ เป็น เรื่อง ที่ ได้ ยกขึ้น ว่ากล่าว กัน มา แล้ว ใน ศาลชั้นต้น จึง ไม่ วินิจฉัย พยานหลักฐานจำเลย ไม่ มี น้ำหนัก พอ จะ หักล้าง พยาน โจทก์ ได้ ที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืน ตาม ศาลชั้นต้น ชอบ แล้ว ฎีกา จำเลย ฟัง ไม่ ขึ้น

           พิพากษา ยืน ให้ จำเลย ใช้ ค่า ทนายความ ชั้น ฎีกา 500 บาท แทน โจทก์' 

( ปลื้ม โชติษฐยางกูร - มาโนช เพียรสนอง - อภินย์ ปุษปาคม )

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3680/2535

ป.วิ.พ. มาตรา 177, 178, 249
ป.พ.พ. มาตรา 143, 181, 303, 306, 521, 523, 525, 1379, 1380 

          การที่ จ. ทายาททำหนังสือยกส่วนได้ของตนที่จะได้รับการแบ่งปันทรัพย์มรดกจากจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีให้แก่ ส. เป็นการโอนทรัพย์สินอันเป็นมรดกที่ตกได้แก่ตนด้วยการให้โดยเสน่หาแก่ ส.และส. ยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงเป็นการให้โดยเสน่หา หาใช่เป็นเพียงการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ ในขณะที่ จ. ทำสัญญาให้นั้น ทายาททุกคนรวมทั้งทรัสตีได้ตกลงยกเลิกทรัสต์กันแล้ว โดยให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัสตีในขณะนั้นทำการแบ่งปันมรดกให้แก่ทายาททรัพย์มรดกทั้งหมดจึงมี จำเลยที่ 2ในฐานะทรัสตีและในฐานะผู้จัดการมรดกในเวลาต่อมาเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษา แทนทายาททุกคน การที่ จ. ทำสัญญาให้โดยเสน่หาแล้ว ส. ทำบันทึกมอบฉันทะให้ จ. เป็นผู้รับส่วนแบ่งมรดกดังกล่าวแทน โดยจำเลยที่ 2 ลงชื่อยินยอมและรับรู้การยกให้กับการมอบฉันทะดังกล่าว เท่ากับเป็นการตกลงว่าต่อแต่นั้นไปจำเลยที่ 2จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนได้ของ จ. แทน ส.เป็นการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้โดยปริยายแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379 การให้ทรัพย์สินในส่วนที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์จึงสมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 523 สำหรับมรดกที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ก็มีจำเลยที่ 2เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนทายาททุกคน การโอนจึงทำได้โดย จ.ผู้โอนสั่งจำเลยที่ 2 ผู้แทนว่าต่อไปให้ยึดถือทรัพย์สินไว้แทน ส.ผู้รับโอนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1380 วรรคสองเมื่อ จ. ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือสำคัญเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การให้โดยเสน่หาจึงไม่อาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ได้การรับรู้การยกให้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นการรับว่าต่อไปจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์แทน ส. โดยไม่ต้องจดทะเบียนการยกให้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 อีก การที่จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า จ. ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งมรดกให้แก่ ส. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม2510 แต่โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า หนังสือที่ จ. ทำขึ้นดังกล่าวเป็นหนังสือยกให้ส่วนแบ่งมรดกมิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง การให้ไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ เท่ากับโจทก์รับว่าหนังสือยกให้ได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 11ตุลาคม 2510 เพียงแต่โต้แย้งว่ามิใช่หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังที่จำเลยทั้งสองกล่าว อ้าง โจทก์จะฎีกาว่าหนังสือยกให้ทำเมื่อปี 2521 อันเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วหาได้ไม่ต้องฟังว่า จ. ทำหนังสือยกให้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 โจทก์เพิ่งบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2527เป็นการบอกล้างเมื่อเกินสิบปี จึงบอกล้างไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143(มาตรา 181 ที่แก้ไขใหม่)สัญญาให้ไม่เป็นโมฆะ 

________________________________ 

          โจทก์ฟ้องว่า หม่อมหลวงสาระภี หงสนันท์ เป็นบุตรของนางจำรัส เจนใจวิทย์ กับหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์หม่อมราชวงศ์สุวพรรณ ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทแล้วจึงวายชนม์ ต่อมาบรรดาทายาทได้ทำบันทึกแบ่งปันมรดกขึ้นใหม่กำหนดส่วนแบ่งกองมรดกให้แก่ ทายาท โดยนางจำรัสซึ่งเป็นภริยาและเป็นทายาทได้รับส่วนแบ่งด้วย โจทก์ได้รับส่วนแบ่งงวดหนึ่งเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2527 ต่อมาจำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจำรัสให้ไปรับเงินส่วนแบ่งจาก การขายที่ดินมรดกงวดวันที่ 18 เมษายน 2527 แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของหม่อมหลวงสาระภีได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ให้ระงับการจ่ายเงิน โดยอ้างว่านางจำรัสได้โอนสิทธิการรับเงินไปให้หม่อมหลวงสาระภีแล้ว ความจริงนางจำรัสไม่เคยโอนสิทธิให้แก่หม่อมหลวงสาระภี ขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 2 ระงับการจ่ายเงินส่วนแบ่งจากกองมรดกและห้ามจำเลยที่ 1 เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินส่วนแบ่งจากการขายที่ดินของกองมรดก งวดวันที่ 18 เมษายน 2527 จำนวน400,000 บาท และงวดต่อ ๆ ไปให้โจทก์

          จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510นางจำรัสได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งที่ตนมีสิทธิได้รับจาก กองมรดกทั้งหมดให้แก่หม่อมหลวงสาระภี และนางจำรัสกับหม่อมหลวงสาระภีได้บอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือยินยอมด้วยในการโอนนั้น สิทธิในส่วนแบ่งที่นางจำรัสจะได้รับจากกองมรดก จึงโอนและตกเป็นของหม่อมหลวงสาระภีตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2510 เป็นต้นมา ต่อมาหม่อมหลวงสาระภีได้มีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยที่ 2 ว่าหม่อมหลวงสาระภีขอมอบฉันทะให้นางจำรัสรับส่วนแบ่งมรดกแทนจนกว่านางจำรัส จะถึงแก่กรรม เมื่อนางจำรัสถึงแก่กรรมลงจำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิรับเงินส่วนแบ่งดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 การที่โจทก์รับเงินส่วนแบ่งจากกองมรดกเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2527 จำนวน375,000 บาท โดยรู้ว่าตนไม่มีสิทธิจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์คืนเงินจำนวน 375,000 บาทให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมทั้งดอกเบี้ย

          จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกรับรู้การที่นางจำรัส โอนสิทธิการรับมรดกให้แก่หม่อมหลวงสาระภี และหม่อมหลวงสาระภีได้มอบฉันทะให้นางจำรัสรับส่วนแบ่งมรดกตามหนังสือโอน สิทธิเรียกร้องแทนหม่อมหลวงสาระภีไปจนกว่านางจำรัสจะถึงแก่กรรม ต่อมาหม่อมหลวงสาระภี และนางจำรัสถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 ขอให้ระงับการจ่ายเงินส่วนแบ่งให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงระงับการจ่ายเงินส่วนแบ่งมรดกไว้ก่อน และได้นำเงินไปฝากไว้ ณ ธนาคารออมสินเพื่อรอการจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2รับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่านางจำรัสทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งมรดกให้แก่หม่อม หลวงสาระภี ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2510 นั้นไม่เป็นความจริง ความจริงหนังสือที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างเป็นหนังสือยกให้ในส่วนแบ่งทรัพย์สิน สิทธิต่าง ๆ และผลประโยชน์อันพึงจะได้รับจากกองมรดกซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้จัดการมรดกจะต้องนำมาแบ่งให้แก่นางจำรัสตามสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่ง ปันมรดกมิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง หม่อมหลวงสาระภียังไม่เคยได้รับมอบทรัพย์สินที่ยกให้เลย จนกระทั่งผู้รับได้ถึงแก่กรรมก่อนผู้ให้ การยกให้จึงไม่สมบูรณ์ สิทธิการรับมรดกของนางจำรัสเป็นสินเดิมซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างนางจำรัส กับโจทก์ นางจำรัสจำหน่ายสินบริคณห์ดังกล่าวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์จึงเป็น โมฆียะ และโจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะไปแล้วขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1

          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์ เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมลงวันที่ก่อตั้งทรัสต์ ต่อมาทายาททุกคนรวมทั้งทรัสตีได้ตกลงเลิกทรัสต์และให้นำทรัพย์สินทั้งหมดมา แบ่งปันกันในระหว่างทายาทวันที่ 12 ธันวาคม2510 บรรดาทายาททุกคนได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงวิธีแบ่งปันโดยให้เรือ อากาศเอกพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และเรือเอกปิยะพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ทรัสตีเป็นผู้จัดการแบ่งปันให้เป็นไปตามข้อตกลง ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งเรืออากาศเอกพจน์กับเรือเอกปิยะพันธ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกนางจำรัสเป็นภริยาคนหนึ่งของเจ้ามรดก มีบุตรกับเจ้ามรดก1 คน คือหม่อมหลวงสาระภี หลังจากเจ้ามรดกวายชนม์แล้วนางจำรัสได้จดทะเบียนสมรสใหม่กับโจทก์ ในระหว่างการตกลงแบ่งปันทรัพย์สินนางจำรัสในฐานะทายาทผู้มีส่วนได้รับแบ่ง ปันทรัพย์สินดังกล่าวด้วยได้ทำหนังสือยกส่วนได้ของตนที่จะได้รับการแบ่งปัน ต่อไปให้แก่หม่อมหลวงสาระภีซึ่งเป็นทายาทอีกคนหนึ่งขณะเดียวกันหม่อมหลวงสา ระภีได้ทำหนังสือมอบฉันทะให้นางจำรัสเป็นผู้รับส่วนได้ดังกล่าวแทนหม่อมหลวง สาระภีจนกว่านางจำรัสจะถึงแก่กรรม โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีได้ลงชื่อยินยอมและรับทราบการยกให้และการมอบฉันทะในหนังสือดัง กล่าวด้วยดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1

          ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่แบ่งปันมรดกให้แก่โจทก์เพราะสิทธิในการรับมรดกได้โอน ไปเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า สิทธิในการรับการแบ่งปันมรดกเป็นทรัพย์สินอันเป็นสินเดิมของนางจำรัส ในฐานะทายาทผู้เป็นเจ้าของรวมคนหนึ่ง มิใช่เป็นเพียงสิทธิเรียกร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อนางจำรัสทำหนังสือยกให้ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว แต่หม่อมหลวงสาระภียังไม่ได้รับการส่งมอบซึ่งทรัพย์สินที่ให้ การให้จึงยังไม่สมบูรณ์ สิทธิในการรับการแบ่งปันมรดกยังเป็นของนางจำรัสอยู่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือยกให้ตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นหนังสือที่นางจำรัสยกส่วนได้ของตนที่จะได้รับการแบ่งปันทรัพย์สินจาก จำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีให้แก่หม่อมหลวงสาระภี จึงเป็นการโอนทรัพย์สินอันเป็นมรดกที่ตกได้แก่ตนส่วนหนึ่งด้วยให้โดยเสน่หา แก่หม่อมหลวงสาระภี และหม่อมหลวงสาระภียอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว สัญญาตามเอกสารหมาย ล.1 จึงเป็นการให้โดยเสน่หาดังที่โจทก์กล่าวอ้าง หาใช่เป็นเพียงการโอนสิทธิเรียกร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ปัญหาต่อไปมีว่า การให้ยังไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้หรือไม่ ได้ความว่าขณะมีการทำสัญญายกให้นี้ทายาททุกคนรวมทั้งทรัสตีได้ตกลงเลิก ทรัสต์กันแล้ว โดยให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัสตีในขณะนั้นทำการแบ่งปันมรดกให้แก่บรรดาทายาท ทรัพย์มรดกทั้งหมดจึงมีจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีและในฐานะผู้จัดการมรดกในเวลาต่อมาเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาแทน ทายาททุกคนเมื่อนางจำรัสทำสัญญาให้โดยเสน่หาตามเอกสารหมาย ล.1 แล้วหม่อมหลวงสาระภีทำบันทึกมอบฉันทะให้นางจำรัสเป็นผู้รับส่วนแบ่งมรดกดัง กล่าวแทนไว้ในเอกสารนั้น โดยมีจำเลยที่ 2 ลงชื่อยินยอมและรับรู้การยกให้กับการมอบฉันทะดังกล่าวไว้ในเอกสาร เท่ากับเป็นการตกลงว่าต่อแต่นั้นไปจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนได้ของนางจำรัสแทนหม่อมหลวงสาระภี เป็นการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้โดยปริยายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379การให้ทรัพย์สินในส่วนที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์จึงสมบูรณ์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 สำหรับทรัพย์มรดกที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ก็มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนทายาททุกคน การโอนจึงทำได้โดยผู้โอนสั่งผู้แทนว่า ต่อไปให้ยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอนก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1380 วรรคสอง เมื่อนางจำรัสไม่มีชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือสำคัญเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การให้โดยเสน่หาจึงไม่อาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 525 การรับรู้การยกให้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นการรับว่าต่อไปจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์แทนหม่อมหลวงสาระภีโดยไม่ต้องจด ทะเบียนการยกให้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 525 อีกการให้โดยเสน่หาทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนของนางจำรัสสมบูรณ์แล้ว

          ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การให้โดยเสน่หาในทรัพย์มรดกของนางจำรัสเป็นการจำหน่ายสินเดิมอันเป็น สินบริคณห์ เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นสามีย่อมเป็นโมฆียกรรม โจทก์บอกล้างแล้ว นิติกรรมการให้จึงเป็นโมฆะนั้น ปัญหาจึงมีว่า โจทก์ได้บอกล้างโมฆียกรรมนั้นภายในกำหนดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1ให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 นางจำรัสได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งที่ตนมีสิทธิได้รับจาก กองมรดกให้แก่หม่อมหลวงสาระภีตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือโอนสิทธิเรียกร้อง เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่านางจำรัสทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งมรดกให้แก่หม่อม หลวงสาระภี ตั้งแต่วันที่ 11ตุลาคม 2510 นั้นไม่เป็นความจริง ความจริงหนังสือที่อ้างเป็นหนังสือยกให้ในส่วนแบ่งทรัพย์สิน สิทธิต่าง ๆ และผลประโยชน์อันจะพึงได้รับจากกองมรดกซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้จัดการมรดกจะต้องแบ่งให้แก่นางจำรัสมิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามที่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 กล่าวอ้างการให้ยังไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ จะเห็นได้ว่าโจทก์โต้แย้งเพียงว่าหนังสือยกให้ตามเอกสารท้ายคำให้การของ จำเลยที่ 1 นั้นมิใช่หนังสือโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นการให้โดยเสน่หาเท่ากับโจทก์รับว่าหนังสือยกให้ตามเอกสารท้ายคำให้ การจำเลยที่ 1 ทำเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 จริง เพียงแต่โต้แย้งว่ามิใช่หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังที่จำเลยทั้งสองกล่าว อ้างเท่านั้น โจทก์จะฎีกาว่าหนังสือยกให้นี้ทำเมื่อปี 2521 อันเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วหาได้ไม่ แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยในปัญหานี้ให้ก็เป็นการไม่ชอบคดีต้องฟังว่านาง จำรัสทำหนังสือยกให้ดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 เมื่อโจทก์เพิ่งมาบอกล้างเมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2527 อันเป็นการบอกล้างเมื่อเกินสิบปีจึงบอกล้างไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 143 (มาตรา 181 ที่แก้ไขใหม่) สัญญาให้โดยเสน่หาไม่เป็นโมฆะ ทรัพย์มรดกในส่วนของนางจำรัสได้ตกเป็นของหม่อมหลวงสาระภีแล้ว เมื่อหนังสือมอบฉันทะให้นางจำรัสส่วนแบ่งแทนสิ้นผลเพราะนางจำรัสถึงแก่กรรม แล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้โจทก์

          พิพากษายืน 

( เพ็ง เพ็งนิติ - เจริญ นิลเอสงฆ์ - บุญธรรม อยู่พุก )

 

(ฎีกาเหล่านี้ทีมทนายความ Thai Law Consult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา 23-4-56)