Blog categories

Latest posts

โมฆะกรรม, สิทธิครอบครอง แย่งการครอบครอง,

ป.ที่ดิน

     คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6157/2558

     ที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตาม ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ นับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2519 โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจาก ค. และเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย มีผลทำให้การโอนที่ดินพิพาทเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

     ป.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2522 ก่อนครอบกำหนดห้างโอน แต่ผู้ร้องสอดที่ 1 เพิ่งยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ป. เพื่อกล่าวอ้างสิทธิที่ดินพิพาทในปี 2540 โดยก่อนหน้านั้นผู้ร้องสอดที่ 1 และทายาทของ ป. รวมทั้ง พ. ที่อ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทแทนไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวอ้างสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่ประการใด แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 และทายาทของ ป. สละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว เมื่อโจทก์ที่ 1 ยังครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี นับแต่ระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายล่วงเลยไปแล้ว และโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทตลอดมา การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการยึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน คือนับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2529 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของ ป. และผู้ร้องสอดที่ 1 มีลักษณะเป็นการแย่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว และกรณีดังกล่าวโจทก์ที่ 1 มิได้ครอบครองแทน ป. หรือทายาทของ ป. จึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยัง ป.หรือทายาท เมื่อผู้ร้องสอดที่ 1 ยื่นคำร้องสอดเข้ามาครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2529 ที่โจทก์ที่ 1 แย่งการครอบครอง ผู้ร้องสอดที่ 1 จึงไม่มีอำนาจรองสอดหรือฟ้องโจทก์ที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง

คำพิพากษาฏีกาย่อยาว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6157/2558

โจทก์  นายราช ฟังสันเทียะ โดยนางสาวประกอบ ฟังสันเทียะ

          ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน  กับพวก

ผู้ร้องสอด นางสาวสุพรรณ จันทร์บุญ กับพวก

จำเลย   นายคำตัน จันทร์บุญ โดยนางสาวสุพรรณ จันทร์บุญ

           ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน กับพวก

 

ป.พ.พ. โมฆะกรรม สิทธิครอบครอง แย่งการครอบครอง มาตรา 150, 1367,1375 วรรคสอง

ป.ที่ดิน  มาตรา 58 ทวิ

 

     โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้พิพากษาให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1225 ตำบลน้ำร้อน อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ กับขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดิน ห้ามยุ่งเกี่ยวรบกวนการครอบครองในที่ดินอีกต่อไป และให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1

     ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และโจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ

     จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง

     ผู้ร้องสอดที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1)

     ผู้ร้องสอดที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความขอให้บังคับผู้ร้องสอดที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางปูนจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1225 เฉพาะที่ผู้ร้องสอดที่ 2 ครอบครองให้แก่ผู้ร้องสอดที่ 2 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของผู้ร้องสอดที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดที่ 2 เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1)

     โจทก์ที่ 1 ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 1 ว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 ถูกแย่งการครอบครองเมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนเกินกว่า 10 ปี ย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง

     จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 2 ขอให้ยกคำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 2

     ผู้ร้องสอดที่ 1 ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 2 ขอให้ยกคำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 2

     ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 และผู้ร้องสอดที่ 2 พร้อมบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1225 ตำบลน้ำร้อน อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ห้ามยุ่งเกี่ยวรบกวนการครอบครองที่ดินอีกต่อไป กับให้ร่วมกันส่งคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องสอดที่ 1 ให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 และยกคำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

     โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์

     ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1225 ตำบลน้ำร้อน

อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เฉพาะส่วนที่ดินเนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวาตามแนวเขตเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาท ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษานี้ ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินดังกล่าว ยกคำร้องสอดของผู้ร้องสอดที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์ที่ 1 กับผู้ร้องสอดที่ 1 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

     ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ในชั้นโจทก์ที่ 1 ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แก่ผู้ร้องสอดที่ 1 ทราบโดยวิธีปิดประกาศไว้ที่หน้าศาล โจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย นางสาวประกอบ ทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต

     ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 1 จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย นางสาวสุพรรณ (ผู้ร้องสอดที่ 1) ซึ่งเป็นทายาท ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

     ผู้ร้องสอดที่ 1 ฎีกา

     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาท เนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา ตามแนวเขตเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1225 ตำบลน้ำร้อน อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีชื่อนางปูน มารดาผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ นางปูนหรือปุ่นอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 โดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ ผู้ร้องสอดที่ 1 นางสาวทองยุ่น และนางสาวสงกรานต์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2522 นางปูนหรือปุ่นถึงแก่ความตาย ผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางปูนหรือปุ่นตามคำสั่งศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2540 ตามสำเนาคำสั่ง

     มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 1 ว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี ทางราชการออกเอกสารสิทธิแก่นางปูนวันที่ 8 ตุลาคม 2519 ครบกำหนด 10 ปี วันที่ 8 ตุลาคม 2529 โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 ยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จึงมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นโมฆะ ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้นไม่ว่าจะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่มีสิทธิครอบครองและเป็นการครอบครองแทนนางปูนหรือปุ่นหรือทายาท หากโจทก์ที่ 1 จะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตน จะต้องบอกกล่าวไปยังนางปูนหรือปุ่นหรือทายาท แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือเพื่อตนไปยังนางปูนหรือปุ่นหรือทายาทนั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาทมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ นับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2519 โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากนายคำตัน และเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2525 ยังอยู่ภายในกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย มีผลทำให้การโอนที่ดินพิพาทเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 นางปูนหรือปุ่นถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2522 ก่อนครอบกำหนดห้างโอน แต่ผู้ร้องสอดที่ 1 เพิ่งยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางปูนหรือปุ่น เพื่อกล่าวอ้างสิทธิที่ดินพิพาทในปี 2540 โดยก่อนหน้านั้นผู้ร้องสอดที่ 1 และทายาทของนางปูนหรือปุ่น รวมทั้งนายพูล ที่อ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทแทนไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวอ้างสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่ประการใด แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องสอดที่ 1 และทายาทของนางปูนหรือปุ่นสละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว เมื่อโจทก์ที่ 1 ยังครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี นับแต่ระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายล่วงเลยไปแล้ว และโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทตลอดมาตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ การครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการยึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน คือนับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2529 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของนางปูนหรือปุ่น และผู้ร้องสอดที่ 1 มีลักษณะเป็นการแย่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว และกรณีดังกล่าวโจทก์ที่ 1 มิได้ครอบครองแทนนางปูนหรือปุ่นหรือทายาทของนางปูนหรือปุ่นจึงไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังนางปูนหรือปุ่นหรือทายาท เมื่อผู้ร้องสอดที่ 1 ยื่นคำร้องสอดเข้ามาครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2529 ที่โจทก์ที่ 1 แย่งการครอบครอง ผู้ร้องสอดที่ 1 จึงไม่มีอำนาจรองสอดหรือฟ้องโจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องสอดที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

     พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 

     (วาส  ลักษณ์เลิศกุล  -  ชำนาญ  รวิวรรณพงษ์  -  พิชัย  นิลทองคำ)

                                                    ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์  -  ย่อ /ตรวจ

 ThaiLawConsult.com ไทยลอว์คอนซัลต์ พี่ตุ๊กตา นางสาวณุมาพร พัฒนพงศธร