Blog categories

Latest posts

คำพิพากษาฎีกาย่อสั้น
ผู้เป็นเจ้าของต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน, อายุความละเมิด
     212/2544
     โจทก์ฟ้องบังคับเพื่อให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการระงับความเสียหายอันจะ
บังเกิดแก่โจทก์ต่อไป ไม่ได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิดโดยตรง
จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
     เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติฝ่าฝืน ป.พ.พ. มาตรา 1342
วรรคหนึ่งและวรรคสอง จนเป็นเหตุให้มีน้ำโสโครกซึมเข้าไปในที่ดินและบ้านของ
โจทก์และมีกลิ่นเหม็นไม่อาจพักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านได้ตามปกติสุข อัน
เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาด จึงเป็นการ
ละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโดยตรง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้
โจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 แม้จะได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้โอน
อาคารชุดที่เกิดเหตุไปให้จำเลยที่ 2 แล้วก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ไม่อาจอ้าง ป.พ.พ.
มาตรา 434 มายกเว้นความผิดของตนได้ เพราะคดีนี้ความเสียหายมิได้เกิดขึ้น
เพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องหรือบำรุง
รักษาไม่เพียงพอ
คำพิพากษาฎีกาย่อยาว
212/2544
โจทก์  นายสมนึก ยงรัตนา กับพวก
จำเลย  บริษัท ช.โชคศิริ จำกัด กับพวก
แพ่ง  ผู้เป็นเจ้าของต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน อายุความละเมิด  (มาตรา 434, 448)

     โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 21291 และ
21300 ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งเหนือ) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (พระโขนง)
จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 และอาคารชุดของจำเลยที่ 2
โจทก์ที่ 2 เป็นภริยาของโจทก์ที่ 1 และเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 637 หมู่ที่ 9 ตำบล
สำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของ
โจทก์ที่ 1 และอยู่ติดแนวที่ดินของจำเลยที่ 1 และอาคารพักอาศัยของจำเลยที่ 2
เมื่อปี 2532 จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารสูง 6 ชั้น บนที่ดินของจำเลยที่ 1 โดย
วางแนวท่อน้ำทิ้ง บ่อเกรอะบ่อซึม บ่อพักน้ำทิ้งไว้ห่างจากแนวรั้วซึ่งแบ่งเขตที่ดิน
ของโจทก์ที่ 1 ไม่เกิน2 เมตร ตามที่มาตรา 1342 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์กำหนดไว้ และไม่ได้สร้างสิ่งป้องกันสิ่งของตกจากอาคารให้ดี เป็นเหตุให้
มีสิ่งของตกจากอาคารพักอาศัยซึ่งจำเลยที่ 1 ก่อสร้าง ทำให้อาคารของโจทก์ที่ 2
ได้รับความเสียหาย หลังจากจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารดังกล่าวเสร็จได้ขอจดทะเบียน
อาคารดังกล่าวเป็นนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 2 เพื่อให้ดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง
และการที่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายทำให้น้ำโสโครกจากบ่อเกราะ
บ่อซึม บ่อพักน้ำทิ้งไหลซึมเข้ามาในที่ดินของโจทก์ที่ 1 จนท่วมพื้นที่ดินของโจทก์ที่ 1
เป็นแนวยาวและส่งกลิ่นเหม็นทั่วบริเวณบ้านของโจทก์ทั้งสอง เป็นอันตรายต่อ
สุขภาพของโจทก์ทั้งสองและบริวาร และเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2538 มีสิ่งของ
จากอาคารของจำเลยทั้งสองหล่นมาทำให้หลังคาอาคารของโจทก์ที่ 2 แตกเสียหาย
เมื่อฝนตกทำให้น้ำรั่วมาในบ้านของโจทก์ที่ 2 ทำให้เกิดความเสียหายต้องเสียเงิน
ซ่อมแซมจำนวน 20,000 บาท และไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ คิดเป็นค่าเสียหาย
วันละ 200 บาท โจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองแก้ไขแล้ว แต่จำเลยทั้งสอง
เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันรื้อถอนท่อระบายน้ำ บ่อเกรอะ
บ่อซึม บ่อพักน้ำโสโครก ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองออกไปให้ห่างจากแนวเขต
ที่ดินโฉนดเลขที่21291 และ 21300 ของโจทก์ที่ 1 ตามที่กฎหมายกำหนด
และป้องกันมิให้น้ำโสโครกไหลซึมเข้ามาในที่ดินของโจทก์ที่ 1 กับให้ร่วมกันหรือ
แทนกันสร้างสิ่งป้องกันมิให้สิ่งของตกหล่นจากอาคารจำเลยที่ 2 มาสู่ที่ดินและอาคาร
ของโจทก์ทั้งสอง และชำระค่าซ่อมแซมอาคารให้โจทก์ที่ 2 จำนวน 20,000 บาท
 และค่าเสียหายวันละ 200 บาท นับจากวันที่ 26 สิงหาคม 2538 เป็นต้นไป
จนกว่าจำเลยทั้งสองจะแก้ไขเสร็จ โดยค่าเสียหายดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน
53,400 บาท
     จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งอยู่ติดกับ
ที่ดินของโจทก์ที่ 1 แต่ได้โอนขายให้ประชาชนทั่วไปและเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของ
จำเลยที่ 2 ตั้งแต่ปี 2533 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ก่อสร้างและวางแนว
ท่อน้ำทิ้งด้วยความระมัดระวังตามกฎหมาย น้ำโสโครกที่ไหลซึมเข้าในที่ดินของ
โจทก์ที่ 1 มิใช่เกิดจากการก่อสร้างอาคารของจำเลยที่ 2 แต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้น
ภายหลังมิใช่ความผิดของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และ
อาคารโชคศิริมิได้เป็นของจำเลยที่ 1 เพราะโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้
เป็นผู้กระทำสิ่งของหล่นบนอาคารของโจทก์ที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 เช่นกัน
ทั้งฟ้องโจทก์ทั้งสองในส่วนที่เรียกค่าเสียหายก็เคลือบคลุม เนื่องจากไม่ได้บรรยายว่า
ทรัพย์สินอะไรของโจทก์ทั้งสองเสียหาย และเสียหายอย่างไรและคดีขาดอายุความ
เพราะฟ้องเกิน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
     จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
     ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันรื้อท่อระบายน้ำ
บ่อเกรอะ บ่อซึม บ่อพักน้ำโสโครก ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 ให้ออกห่างจาก
แนวเขตที่ดินของโจทก์ที่ 1 รวม 2 เมตร และร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหาย
อัตราเดือนละ 1,500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันที่ 30สิงหาคม 2538 เป็นต้นไป
จนกว่าจำเลยทั้งสองจะแก้ไขมิให้มีน้ำรั่วซึมเข้าบ้านและที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
แล้วเสร็จ กับให้ร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดย
กำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก
     จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกัน
ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความให้
3,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1
ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งสอง 1,500 บาท
     จำเลยที่ 1 ฎีกา
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 
ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความหรือไม่ คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้
บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนท่อระบายน้ำ บ่อเกรอะ บ่อซึม บ่อพักน้ำโสโครก ซึ่งตั้งอยู่
ในที่ดินของจำเลยทั้งสองออกไปให้ห่างจากแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 21291 และ
21300 ของโจทก์ที่ 1 ตามที่กฎหมายกำหนด และป้องกันมิให้น้ำโสโครกไหลซึม
เข้ามาในที่ดินของโจทก์ที่ 1ได้อีก เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องบังคับเพื่อให้จำเลยที่ 1
ดำเนินการระงับความเสียหายอันจะบังเกิดแก่โจทก์ทั้งสองต่อไป ไม่ได้ฟ้องเรียกเอา
ค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิดโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปีตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีโจทก์ทั้งสองในคำขอ
ส่วนนี้จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนที่โจทก์ทั้งสองเรียกค่าเสียหายจากการที่มีน้ำโสโครก
ไหลซึมจากที่ดินของจำเลยที่ 1 และจากอาคารจำเลยที่ 2 เข้าไปในที่ดินของโจทก์
ที่ 1 วันละ 200 บาท นั้น ได้ความว่าโจทก์ที่ 2 ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน
ตำรวจเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน2538 ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสาร
หมาย จ.8 ซึ่งจำเลยที่1 ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบหักล้างว่าโจทก์ทั้งสองรู้ถึงการ
ละเมิดและรู้ตัวผู้ทำละเมิดก่อนวันที่ 17 มิถุนายน 2538 จึงฟังว่าโจทก์ทั้งสอง
รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ทำละเมิดในวันที่ 17 มิถุนายน 2538 โจทก์ทั้งสองนำคดี
มาฟ้องวันที่ 23 เมษายน 2539 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์ทั้งสองที่ฟ้อง
เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดก็ไม่ขาดอายุความเช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสอง
พิพากษาต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
     ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1
ได้ทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 นำสืบยอมรับ
ว่าการก่อสร้างอาคารโชคศิริมีแบบแปลนตามเอกสารหมายจ.19 ซึ่งมีแนววางท่อ
น้ำทิ้งตามเส้นสีส้ม และนายบุญลือ เพชรบดี พยานจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนาย
โจทก์ทั้งสองถามค้านว่าแนวเส้นสีส้มในแบบแปลนเอกสารหมาย จ.19 เป็นแนว
วางท่อของอาคารโชคศิริคอนโดมิเนียม ซึ่งตามแบบแปลนแนววางท่อระบายน้ำทิ้ง
ของอาคารโชคศิริคอนโดมิเนียม ซึ่งตามแบบแปลนแนววางท่อระบายน้ำทิ้ง
ของอาคารโชคศิริคอนโดมิเนียมอยู่ชิดกันแนวเขตที่ดินของบ้านโจทก์ที่ 2 มาก ที่ดิน
ของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 อยู่ชิดติดกันยาวตลอดแนวด้านข้าง และเมื่อได้
พิจารณารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 10  เมษายน 2540 ซึ่ง
เป็นวันที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท ได้ระบุว่าในบริเวณอาคารชุดมีท่อน้ำทิ้ง
ไหลจากบนอาคารมารวมกันที่เสาชั้นล่างของอาคารหลายต้น ซึ่งเสาแต่ละต้นจะมีท่อ
เชื่อมไปสู่ท่อน้ำทิ้งใหญ่ บ่อเกรอะบ่อซึมซึ่งอยู่ห่างจากรั้วแบ่งแนวเขตที่ดินของโจทก์
ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นระยะทาง 45 เซนติเมตร ตรวจดูท่อน้ำซึ่งไหลออกสู่ท่อ
สาธารณะหน้าอาคารชุดแล้ว ห่างจากแนวแบ่งเขตที่ดินของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1
เป็นระยะทาง 30 เซนติเมตร ดังนี้ จะเห็นได้ว่า จากรายงานการเดินเผชิญสืบของ
ศาลชั้นต้น ตรงกันกับแนววางท่อน้ำทิ้งในแบบแปลนเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งมีทั้งราง
ระบายน้ำและบ่อพักอยู่ชิดแนวเขตที่ดินของโจทก์ที่ 1 จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขุดบ่อ
หรือหลุมรับน้ำโสโครกในระยะห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์ที่ 1 ไม่เกิน 1 เมตร
การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1342วรรคหนึ่ง และวรรคสอง จนเป็นเหตุให้มี
น้ำโสโครกรั่วซึมเข้าไปในที่ดินและบ้านของโจทก์ทั้งสองและมีกลิ่นเหม็นไม่อาจพัก
อาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านได้ตามปกติสุข การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ทั้งสอง
ได้รับความเสียหายต่ออนามัยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1
จะอ้างว่า จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารถูกต้องตามแบบและหลักวิชาการก่อสร้าง และ
เหตุที่มีน้ำรั่วซึมเกิดจากการทรุดตัวของดินซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่อาจคาดคิดมาก่อนจำเลย
ที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1
ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
ทั้งสองโดยตรง จำเลยที่ 1ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ทั้งสองตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 แม้จะได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้โอน
อาคารชุดที่เกิดเหตุไปให้จำเลยที่ 2 แล้วก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ไม่อาจอ้างประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 434 มายกเว้นความผิดของตนได้ เพราะคดีนี้
ความเสียหายมิได้เกิดขึ้น เพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้
ชำรุดบกพร่อง หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
     ส่วนที่โจทก์ทั้งสองแก้ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก้ไขคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าทนายความให้โจทก์ทั้งสองจากจำนวน 10,000 บาท ลดลง
เหลือเพียง 3,000 บาท โจทก์ทั้งสองขอให้กำหนดค่าทนายความตามศาลชั้นต้นนั้น
เห็นว่า โจทก์ทั้งสองจะร้องขอมาในคำแก้ฎีกาเพื่อให้แก้ไขค่าฤชาธรรมเนียมตาม
คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยมิได้ฎีกาหาได้ไม่ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้"
     พิพากษายืน

(วิชัย วิสิทธวงศ์ - พิชัย เตโชพิทยากูล - สมชัย เกษชุมพล)
                                          มนตรี ศิลป์มหาบัณฑิต - ย่อ