Blog categories

Latest posts

คำพิพากษาฏีกาย่อสั้น
เพิ่มโทษ,
พิพากษาไม่เกินคำฟ้องหรือคำขอ 
     คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5260/2559
     โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยเป็น 2 ข้อว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำ
อนาจารแก่บุคคลอายุว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย กับกระทำ
ความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ ถือว่าฟ้อง
ของโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม
การกระทำของจำเลย เมื่อจำเลยให้ การรับสารภาพตามฟ้องย่อม
หมายความว่า จำเลยรับว่าได้กระทำความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการ
อนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลัง
ประทุษร้ายกรรมหนึ่ง กับกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
โดยใช้ยานพาหนะอีกกรรมหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง หาใช่เป็นการ
กระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็น
ความผิดหลายกรรมต่างกัน
     โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์  2554 จำเลยต้อง
คำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในความผิดฐานลักทรัพย์
ในเคหสถานในเวลากลางคืน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 262/2554
ของศาลจังหวัดราชบุรี ซึ่งมิใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิด
ลหุโทษ และจำเลยได้กระทำความผิดในคดีก่อนนั้นในขณะที่มีอายุเกินกว่า
สิบแปดปีแล้ว จำเลยพ้นโทษเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม  2556 ภายในเวลา
สามปีนับแต่วันพ้นโทษในคดีดังกล่าว จำเลยมากระทำความผิดเกี่ยวกับ
ทรัพย์ในคดีนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันใน ป.อ. มาตรา 93 และความผิด
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่น้อยว่าหกเดือน เท่ากับโจทก์บรรยายฟ้อง
เกี่ยวกับการเพิ่มโทษจำเลยมาแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลพิพากษาว่าจำเลยมี
ความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่บุคคล
อายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่คดีก่อนจำเลยต้องคำพิพากษา
ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน จึงมิใช่เป็นการ
กระทำความผิดซ้ำในอนุมาตราเดียวกันที่ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยตาม ป.อ.
มาตรา 93 ได้ กรณีจึงต้องเพิ่มโทษตาม ป.อ. มาตรา 92 แม้โจทก์จะขอ
เพิ่มโทษตาม มาตรา 93 ซึ่งเป็นบทหนักมาก็ตาม ศาลก็มีอำนาจเพิ่มโทษ
จำเลยตามมาตรา 92 ซึ่งเป็นบทเบากว่าได้ และไม่เป็นการพิพากษาเกิน
คำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาฏีกาย่อยาว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5260/2559
โจทก์   พนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จำเลย  นายฉัตรชัย  เขตประทุม
ป.อ. เพิ่มโทษ  มาตรา 92, 93
ป.วิ.อ.พิพากษาไม่เกินคำฟ้องหรือคำขอ มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

     โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 93,
278, 284, 335, 336  ทวิ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน
23,300 บาท แก่ผู้เสียหาย และเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย
     จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดี
ที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
     ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 278, 284 วรรคแรก, 335 (1) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำหรับความผิดฐานพาผู้อื่น
ไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลัง
ประทุษร้าย เป็นการกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน จึงเป็นกรรมเดียว
เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็น
บทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์
ในเวลากลางคืนโดยใช้พาหนะ จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามใน
ความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92
เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลา
กลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 เป็นจำคุก 4 ปี
6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการ
อนาจาร คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ
คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 7 เดือน ให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำพร้อม
จี้พระราคา 20,500 บาท และเงินสด 2,800 บาท หรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน
23,300 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
     จำเลยอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
     จำเลยฎีกา
     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า
การกระทำของจำเลยในความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำ
อนาจารแก่บุคคลอายุว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายกับกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่
โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายตั้งแต่แรก การที่จำเลย
พาผู้เสียหายเข้าไปในโรงแรมเพื่อต้องการที่จะไม่ให้บุคคลอื่นพบเห็นและเพื่อ
ความสะดวกในการลักทรัพย์เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่
ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของ
จำเลยเป็น 2 ข้อว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐาน
กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย กับกระทำความผิด
ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ ถือว่าฟ้องของโจทก์ประสงค์ให้
ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามการกระทำของจำเลย เมื่อจำเลย
ให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่า จำเลยรับว่าได้กระทำความผิดฐาน
พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้
กำลังประทุษร้ายกรรมหนึ่ง กับกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้
ยานพาหนะอีกกรรมหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง หาใช่เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง
เชื่อมโยงกันดังที่จำเลยฎีกาไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิด
หลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
     มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1
เพิ่มโทษจำเลยในความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจาร
แก่บุคคลอายุว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา  92 ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องและมิได้ประสงค์ให้
ลงโทษหรือมีคำขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92
ดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์  2554
จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในความผิดฐานลักทรัพย์
ในเคหสถานในเวลากลางคืน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 262/2554 ของศาล
จังหวัดราชบุรี  ซึ่งมิใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และ
จำเลยได้กระทำความผิดในคดีก่อนนั้นในขณะที่มีอายุเกินกว่าสิบแปดปีแล้ว จำเลย
พ้นโทษเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม  2556 ภายในเวลาสามปีนับแต่วันพ้นโทษใน
คดีดังกล่าว จำเลยมากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ในคดีนี้ซ้ำในอนุมาตรา
เดียวกันในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 และความผิดคดีก่อนศาลพิพากษา
ลงโทษจำคุกไม่น้อยว่าหกเดือน เท่ากับโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการเพิ่มโทษ
จำเลยมาแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการ
อนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย
แต่คดีก่อนจำเลยต้องคำพิพากษาในความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลา
กลางคืน จึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดซ้ำในอนุมาตราเดียวกันที่ศาลจะเพิ่มโทษ
จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 ได้ กรณีจึงต้องเพิ่มโทษตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 92 แม้โจทก์จะขอเพิ่มโทษตาม มาตรา 93 ซึ่งเป็นบทหนัก
มาก็ตาม ศาลก็มีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 92 ซึ่งเป็นบทเบากว่าได้ และ
ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง  ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
     พิพากษายืน

     (ไมตรี  สุเทพากุล  -   นิพนธ์  ใจสำราญ  -  เอกชัย  เหลี่ยมไพศาล)

                                                                    ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์  -  ย่อ
                                                                            ธานี  สิงหนาท  -  ตรวจ