Blog categories

Latest posts

คำพิพากษาฏีกาย่อสั้น

ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ, ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, บุกรุก

     คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1/2560

       คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2553 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2550 จำเลย กับพวกหลายร้อยคน ได้มั่วสุมบริเวณ ถ.อู่ทองในหน้าอาคารรัฐสภา พวกจำเลยในฐานะเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการกลุ่มแนวร่วมภาคประชาชนได้ใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ติดเครื่องขยายเสียง มาจอดปิดทางเข้าออกรัฐสภา ใช้โซ่ล่ามประตูเข้าออกไม่ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ทำการรัฐสภา ทั้งยังได้ยุยงส่งเสริมให้ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภา เพื่อขัดขวางสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ให้พิจารณาร่างกฎหมาย ต่อมาจำเลยกับพวกหลายร้อยคนได้บุกอาคารรัฐสภาใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยจนบาดเจ็บ จากนั้นได้เข้าไปชุมนุมที่อาคาร 1 ชั้น 2 ที่ใช้เป็นที่ประชุม สนช.แล้วได้ร่วมกันพูดและส่งเสียงกดดันจนสมาชิกรัฐสภาต้องเลิกการประชุม สนช.ในการพิจารณากฎหมายต่างๆ

เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม.

       คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา  ว่า จำเลยที่ 1-4 และ 7-8 มีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเป็นผู้สั่งการตามมาตรา 215 วรรค 3 ที่มีโทษบทหนักสุดให้จำคุกคนละ 2 ปีปรับคนละ 9,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5-6 และ 9-10 มีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตาม ม. 215วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 9,000 บาท รอลงอาญาสองปี แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย1-4 และ 7-8 คนละ 1 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 6,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5- 6 และ 9-10จำคุกคนละ 8 เดือน และปรับคนละ 6,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดเคยถูกลงโทษจำคุกมาก่อนและกระทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติ โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาจำเลยทั้งสิบไว้คนละ 2ปี

        ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้ง 10 และกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกัน มีการปราศรัยปลุกเร้าผู้ชุมนุมไม่ต้องการให้ สนช.ผ่านร่างกฎหมาย ผู้ชุมนุมได้ใช้โซ่ล็อกประตูรัฐสภาจากด้านนอก ใช้เหล็กครอบปลายแหลมของรั้วรัฐสภา และใช้บันไดพาดรั้วปีนเข้าไปภายใน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการเข้าไปในรัฐสภาตั้งแต่ต้น โจทก์มีพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เห็นผู้ชุมนุมวิ่งมาหน้าห้องประชุมรัฐสภาและยื้อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน สอดคล้องกับหลักฐานภาพในซีดี แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นการที่ผู้ชุมนุมปีนเข้าไปในรัฐสภาซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน และต้องปฏิบัติตามระเบียบรักษาความปลอดภัยของรัฐสภา การที่เจ้าหน้าที่ปิดประตูรั้วรัฐสภาตั้งแต่ต้นเป็นการย้ำว่าไม่ให้มีการเข้าไปด้านในรัฐสภาทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีจำเลยคนใดห้ามปรามไม่ให้มีผู้ชุมนุมเข้าไปด้านใน รวมถึงจำเลยบางรายยังปีนรั้วตามเข้าไปด้วย และมีการผลักประตูกระจกเข้าไปยังห้องโถงของอาคารรัฐสภา ถือได้ว่ามีเจตนาเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุข ไม่มีเหตุอันควร การคัดค้านการออกกฎหมาย สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 10 เป็นความผิดตามศาลชั้นต้น แต่เมื่อพิจารณาจากการที่จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุก อายุ อาชีพ การศึกษา เหตุผลและวัตถุประสงค์แล้ว เห็นว่าเป็นพฤติการณ์ไม่ร้ายแรง

 จึงให้รอการกำหนดโทษคนละ 2 ปี

คำพิพากษาฏีกาย่อยาว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1/2560

 

โจทก์   พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด

จำเลย   นายจอน อึ้งภากรณ์      ที่ 1

          นายสาวิทย์ แก้วหวาน   ที่ 2

          นายศิริชัย ไม้งาม         ที่ 3

          นายพิชิต ไชยมงคล      ที่ 4

          นายอนิรุทธ์ ขาวสนิท     ที่ 5

          นายนัสเชอร์ ยีหมะ        ที่ 6

          นายอำนาจ พละมี          ที่ 7

          นายไพโรจน์ พลเพชร    ที่ 8

          นางสาวสารี อ๋องสมหวัง  ที่ 9

          นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์   ที่ 10

ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ, ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, บุกรุก

ป.อ. มาตรา 83, 91, 116, 215, 362, 364, 365   

           คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2553 ระบุความผิดสรุปว่า

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2550 จำเลย กับพวกหลายร้อยคน ได้มั่วสุมบริเวณ ถ.อู่ทองในหน้าอาคารรัฐสภา พวกจำเลยในฐานะเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการกลุ่มแนวร่วมภาคประชาชนได้ใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ติดเครื่องขยายเสียง มาจอดปิดทางเข้าออกรัฐสภา ใช้โซ่ล่ามประตูเข้าออกไม่ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ทำการรัฐสภา ทั้งยังได้ยุยงส่งเสริมให้ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภา เพื่อขัดขวางสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ให้พิจารณาร่างกฎหมาย ต่อมาจำเลยกับพวกหลายร้อยคนได้บุกอาคารรัฐสภาใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยจนบาดเจ็บ จากนั้นได้เข้าไปชุมนุมที่อาคาร 1 ชั้น 2 ที่ใช้เป็นที่ประชุม สนช.แล้วได้ร่วมกันพูดและส่งเสียงกดดันจนสมาชิกรัฐสภาต้องเลิกการประชุม สนช.ในการพิจารณากฎหมายต่างๆ

เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม.

          จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้เรื่องเจตนาว่าการกระทำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจะยื่นข้อเสนอเรียกร้องต่อ สนช.ที่เร่งรีบจะพิจารณากฎหมาย 11 ฉบับ

      คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2556 ว่า จำเลยที่ 1-4 และ 7-8 มีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเป็นผู้สั่งการตามมาตรา 215 วรรค 3 ที่มีโทษบทหนักสุดให้จำคุกคนละ 2 ปีปรับคนละ 9,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5-6 และ 9-10มีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตาม ม. 215วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 9,000 บาทรอลงอาญาสองปี แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย1-4 และ 7-8 คนละ 1 ปี 4 เดือน และปรับคนละ 6,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5- 6 และ 9-10จำคุกคนละ 8 เดือน และปรับคนละ 6,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดเคยถูกลงโทษจำคุกมาก่อนและกระทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติ โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาจำเลยทั้งสิบไว้คนละ 2ปี

        ต่อมาจำเลยทั้ง 10 ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีว่าการเข้าไปในอาคารรัฐสภาและได้มีการปราศรัยต่อประชาชนนั้น เป็นการสื่อสารเพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการชุมนุมที่จะคัดค้าน สนช.พิจารณากฎหมายและการชุมนุมแสดงความคิดเห็นก็ยังได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วย  ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากจำเลยมีเจตนาคัดค้านว่าไม่ควรเร่งรีบออกกฎหมายที่สำคัญรอสภาที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ออกกฎหมาย ไม่เป็นความผิด การเข้าไปในรัฐสภาไม่ได้เข้าไปครอบครองอสังหาริมทรัพย์ เป็นการแสดงจุดยืนยื่นข้อคัดค้านโดยสงบปราศจากอาวุธต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกา โดยในวันนี้จำเลยทั้งหมดเดินทางมายังศาลอาญาเพื่อรับฟังคำพิพากษา มีคนใกล้ชิดและประชาชนจำนวนมากเดินทางมาให้กำลังใจเต็มห้องพิจารณาคดี

       ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 10 และกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันช่วงเช้ามืดที่ถนนอู่ทองใน หน้าอาคารรัฐสภา มีการปราศรัยปลุกเร้าผู้ชุมนุมไม่ต้องการให้ สนช.ผ่านร่างกฎหมาย ผู้ชุมนุมได้ใช้โซ่ล็อกประตูรัฐสภาจากด้านนอก ใช้เหล็กครอบปลายแหลมของรั้วรัฐสภา และใช้บันไดพาดรั้วปีนเข้าไปภายใน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการเข้าไปในรัฐสภาตั้งแต่ต้น โจทก์มีพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เห็นผู้ชุมนุมวิ่งมาหน้าห้องประชุมรัฐสภาและยื้อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน สอดคล้องกับหลักฐานภาพในซีดี แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นการที่ผู้ชุมนุมปีนเข้าไปในรัฐสภาซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน และต้องปฏิบัติตามระเบียบรักษาความปลอดภัยของรัฐสภา การที่เจ้าหน้าที่ปิดประตูรั้วรัฐสภาตั้งแต่ต้นเป็นการย้ำ

ว่าไม่ให้มีการเข้าไปด้านในรัฐสภาทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีจำเลยคนใดห้ามปรามไม่ให้มีผู้ชุมนุมเข้าไปด้านใน รวมถึงจำเลยบางรายยังปีนรั้วตามเข้าไปด้วย และมีการผลักประตูกระจกเข้าไปยังห้องโถงของอาคารรัฐสภา ถือได้ว่ามีเจตนาเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุข ไม่มีเหตุอันควร การคัดค้านการออกกฎหมายสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 10 เป็นความผิดตามศาลชั้นต้น แต่เมื่อพิจารณาจากการที่จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุก อายุ อาชีพ การศึกษา เหตุผลและวัตถุประสงค์แล้ว เห็นว่าเป็นพฤติการณ์ไม่ร้ายแรง จึงให้รอการกำหนดโทษคนละ 2 ปี

 Thailawconsult ทนายพี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร 098-915-0963