Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna...
เว็บ TLC เผยแพร่บทความเพื่อเป็นความรู้แก่ประชาชน
และพร้อมที่จะให้ท่านแคปหน้าจอไปใช้ได้
แต่กรุณาให้เครดิตว่ามาจากเว็บ Thai Law Consult
มิฉะนั้น ท่านอาจจะมีความผิดฐานละเมิดงาน "วรรณกรรม" อันมีลิขสิทธิ์ได้
|
|
|
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna...
ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ผู้เรียบเรียง
เมื่อจำเลยได้กรรมสิทธิในที่ดินโดยการครอบ ครองปรปักษ์แล้ว จำเลยหามีความผิดฐานบุกรุกที่ดินของตนเองไม่ และจำเลยมีสิทธินำที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่า
เรื่องที่ 30 ครอบครองปรปักษ์ แล้วจะผิด บุกรุก ฉ้อโกง ได้หรือไม่ ... หลักกฎหมาย และ ตัวอย่างคดี
น้องเขาเล่าว่า เมื่อปี 2540 ลุงสายัณห์ เพื่อนของคุณพ่อ ซึ่งจบคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ KU.38 ได้เข้าครอบครองที่ดินมีโฉนด จำนวน 9 ไร่ แถวภาคอีสาน โดยเข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของคุณแม่ ที่ได้รับจากคุณตา จึงเข้ามาทำมาหากิน เลี้ยงหมู ปลูกผักขาย ต่อมาที่ดินแปลงนี้มีความเจริญขึ้น ฝั่งตรงข้ามมีการก่อสร้างห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ชื่อคล้ายดอกบัว
เมื่อปี 2553 ลุงสายัณห์ นำที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนที่ติดถนน ให้แม่ค้าจำนวน 11 ราย เช่าทำแผงลอย เดือนละ 2 พันบาท ต่อมาปี 2555 แม่ค้า 3 ราย โอนสิทธิการเช่าให้ เจ๊มาลี ในอัตราค่าเซ้ง รายละ 1.5 แสนบาท
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 ลุงสายัณห์ ถูกตัวแทน (ผู้รับมอบอำนาจ) ของบริษัทหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ นำเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมลุงสายัณห์ ในข้อหาบุกรุก และเจ๊มาลี ร้องทุกข์ฐานฉ้อโกง และอัยการสั่งฟ้อง 3 คดี รวมทั้ง ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
ปัจจุบัน ลุงสายัณห์ ไม่มีเงินประกันตัว ถามว่า ลุงสายัณห์ กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ และมีทางออกของคดีอย่างไร
คำถาม
|
ลุงสายัณห์ กระทำความผิดอาญาตามที่อัยการฟ้องหรือไม่ และมีทางออกของคดีอย่างไร
|
วันนี้พี่ตุ๊กตา ได้นำข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้มาออกอากาศ เนื่องจากทีมทนาย Thai Law Consult ติดว่าความในคดีความผิดต่อชีวิต และคดีล้มละลาย ซึ่งนัดกันไว้นานแล้ว แต่พี่ตุ๊กตาได้ตอบเรื่องนี้หลังไมค์แล้วนะคะ วันนี้ พอดีอัยการท่านหนึ่ง แนะนำพี่ตุ๊กตาว่า เรื่องราวทำนองนี้ มักเกิดขึ้นเสมอ น่าจเพิ่มเติมบทความ เป็นความรู้กฎหมาย ให้ประชาชนระมัดระวัง
ดังนั้น วันนี้ 20 เมษายน 2556 เมื่อทีมทนาย ThaiLawConsult ได้เข้ามาปรึกษาคดีสำคัญจนเสร็จแล้ว ที่ สำนักงานทนายความสมปราถน์และเพื่อน พิบูลย์คอนโดวิลล์ อาคาร 1 ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี 44 ใกล้สี่แยกวงศ์สว่าง บางซื่อ กทม. จึงได้ช่วยกันเรียบเรียงเรื่องนี้มาลงไว้ พี่ตุ๊กตาขอนำมาตอบแบบสั้นๆ นะคะ (แต่ยังยาวอยู่)
บุกรุก หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 362, 365
มาตรา 362 ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการ ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไป กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 365 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 362 มาตรา 363 หรือ มาตรา 364 ได้กระทำ
(1) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(2) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคน ขึ้นไป หรือ
(3) ในเวลากลางคืน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ฉ้อโกง หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 341
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอก ลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 138, 140
มาตรา 138 ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้า การต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน สองปีหรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 140 ถ้าความผิดตาม มาตรา 138 วรรคสอง หรือ มาตรา 139 ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้า กระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้า ความผิดตามมาตรานี้ ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ในสองวรรคก่อนกึ่ง หนึ่ง
ครอบครองปรปักษ์ หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 1382
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบ ครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกัน เป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
ข้อสังเกต ความผิดฐานบุกรุก - จาก ทนายอุดมศักดิ์ ศักดิ์ธงชัย น.บ.ท.64 ดังนี้
1. กรณีจำเลยบุกรุกที่ดินมือเปล่า แต่ผู้เสียหายไม่ได้ฟ้องขับไล่ภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ. 1375 ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก (ฎีกาที่ 2137/2530)
2. การที่จำเลยครอบครองที่ดินอยู่ก่อน โดยชอบแล้ว การที่เจ้าของที่ดินไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินแล้ว จำเลยไม่ออก ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก (ฎีกาที่ 2720/2551, 915/2537, 888/2544)
|
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ น.บ.ท.64 ให้ความเห็นดังนี้
1. ในกรณีจำเลยกับโจทก์ต่างโต้เถียงกันว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินเป็นเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิในที่ดิน พิพาท ถือว่าไม่มีเจตนาบุกรุก มูลกรณีจึงเป็นความรับผิดทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก (ฎีกาที่ 6303/2539, 3548/2539, 294/2537, 2264/2538)
ฎีกาที่ 294/2537...โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างนำสืบโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกันอยู่ ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงหรือไม่ มูลกรณีจึงเป็นเรื่องคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามที่โจทก์นำสืบหาว่า ร่วมกันเข้าไปในที่ดินพิพาทแล้วตักเอาดินและต้นไม้ไปจึงไม่เป็นความผิดฐาน บุกรุกและลักทรัพย์
ข้อสังเกต : ความผิดฐานฉ้อโกง - จาก ทนายสมบัติ บุญสุทัศน์ น.บ.ท.63 ว่า การหลอกลวงที่จะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องกระทำไปเพื่อให้ผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่ 3 ส่งมอบทรัพย์สินให้ มิฉะนั้น ไม่ผิดฐานฉ้อโกง (ฎีกาที่ 1279/2517)
ฎีกาที่ 1279/2517 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นนายหน้าหาคนซื้อที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ร้อยละ 10 โจทก์ชักนำให้จำเลยที่ 2 ไปซื้อ จำเลยที่ 2 พา บ. และ ก. ไปซื้อ โดยโจทก์เป็นผู้จัดการให้จำเลยที่ 2 นำไปซื้อ ต่อมาเมื่อโจทก์สอบถาม จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทุจริตแจ้งข้อความอันเป็นเท็จปกปิดความจริงต่อโจทก์ โดยบอกว่ายังไม่ได้ขายที่ดินให้ใคร ซึ่งความจริงได้ขายให้ บ.และก.ไปแล้ว การแจ้งเท็จและปกปิดความจริง ทำให้จำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งค่านายหน้าอันเป็นสิทธิของโจทก์เป็นเงิน 3,500 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ดังนี้ หากจะฟังว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ตามฟ้องจริง การหลอกลวงเช่นนั้นก็มิได้ทำให้จำเลยได้เงินไปจากโจทก์ซึ่งอ้างว่าถูกหลอก ลวงหรือจากบุคคลที่สามแต่อย่างใด เงินที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ไปนั้นเป็นเพียงเงินค่านายหน้าซึ่งโจทก์ถือว่า ตนมีสิทธิจะได้ และจำเลยไม่ชำระให้เท่านั้นเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องว่ากล่าวกันในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดตามฟ้อง)
ทนายศักดิ์ชาย ทุ่งโชคชัย (พี่ชายน้อย) น.บ.ท.59 ให้ข้อสังเกตว่า ฎีกาที่ 385/2551 น่าสนใจ ดังนี้
จำเลยหลอกลวงโจทก์พร้อมแสดงแผ่นพับโฆษณาแสดงการเป็นเจ้าของ โครงการเสนอขายบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินให้โจทก์ ทั้งๆ ที่จำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เสนอขายให้แก่โจทก์ และจำเลยก็ไม่เคยขออนุญาต ส. เจ้าของที่ดินปลูกสร้างบ้านบนที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้จำเลยหลงเชื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์โดยการวางมัดจำ จำนวน 250,000 บาท ไว้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตาม ป.อ. มาตรา 341
ข้อสังเกตุ : ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ป.อ. มาตรา 138, 140
พี่ตุ๊กตา ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเจ้าพนักงานจับกุม จำเลยดิ้นรนและชกหน้าเจ้าพนักงานจนฟันหัก เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยการใช้กำลัง ประทุษร้าย ตาม มาตรา 138 ว.2 และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตาม ป.อ. มาตรา 296
อีกข้อสังเกตคือ
1. ถ้าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมบุคคลใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่ถูกจับกุม ต่อสู้หรือขัดขวาง ไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ ทั้งนี้ ตามฎีกาที่ 689/2516 ป. และ 1035/2536
ฎ.1035/2536 คำว่า "เจ้าบ้าน" ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 92(5) หมายความถึงผู้เป็นหัวหน้าของบุคคลที่พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นและรวมตลอด ถึงคู่สมรสของผู้เป็นหัวหน้าเท่านั้นเพราะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบใน การครอบครองบ้านและปกครองผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น หาได้รวมถึงผู้อยู่ในบ้านทุกคนไม่ ตามทะเบียนบ้านหลังเกิดเหตุมี บ. บิดาจำเลยเป็นหัวหน้ามีชื่อจำเลยอยู่ในฐานะเป็นบุตร จำเลยจึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นเจ้าบ้านตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92(5) การที่ผู้เสียหายกับพวกเข้าไปจับกุมจำเลยในบ้านดังกล่าวตามหมายจับแต่ไม่มี หมายค้น ทั้งผู้เสียหายกับพวกมิใช่เจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่จะทำการค้นได้โดย ไม่ต้องมีหมายค้น จึงเป็นการจับกุมโดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 81 และเป็นการจับกุมโดยไม่มีอำนาจ จำเลยจึงชอบที่จะป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการจับกุมโดย ไม่ชอบเช่นนั้นได้หากจำเลยจะชกต่อยผู้เสียหายจริงก็เป็นการกระทำเพื่อ ป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ และไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และทำ ร้ายร่างกาย
2. เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้น จับกุม โดยไม่ได้แต่งเครื่องแบบ หรือแสดงหลักฐานว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ผู้ถูกตรวจค้น ทำร้ายตำรวจ ถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่มีเจตนา ไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน (ฎีกาที่ 1954/2546)
ข้อสังเกต : การครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. 1382
พี่ตุ๊กตา ทนายณุมาพร พัฒนพงศธร น.บ.ท.64 ตั้งข้อสังเกตว่า
1. การครอบครองที่ดินโดยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้จะเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง ก็ถือเป็นการครอบครองที่สามารถนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้ มิใช่นับแต่ที่จำเลยรู้ว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองนั้น เป็นของโจทก์ เพราะถือว่าเป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แล้ว (ฎีกาที่ 2641/2550)
2. จะเห็นได้ว่า สาระสำคัญของการครอบครองปรปักษ์ ทรัพย์สินนั้นต้องเป็นของผู้อื่น และเมื่อเป็นทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว ผู้ครอบครองจำต้องครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นด้วยไม่ (ฎ.2315/2537 ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกัน มาเป็นเวลา 10 ปีแล้วแม้จะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองก็ถือไม่ได้ ว่าเป็นการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองเอง หากแต่ต้องถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น ดังนี้โจทก์ทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่)
คำตอบ - ในเบื้องต้น เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องข้อเท็จจริง แต่เพื่อประโยชน์ในการศึกษากฎหมายของประชาชน ทีมทนาย Thai Law Consult ขอตอบคำถามดังนี้
A1. การที่ลุงสายัณห์ ครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยสงบ โดยเปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของ มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ลุงสายัณห์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ แม้จะครอบครองโดยความสำคัญผิด หรือเข้าใจว่าเป็นทรัพย์มรดกของตน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะตามโฉนดที่ดินแปลงนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทหนึ่ง เมื่อเป็นทรัพย์ของบริษัทหนึ่งแล้ว ลุงสายัณห์ผู้ครอบครองไม่จำเป็นต้องครอบครองโดยรู้ว่าเป็นที่ดินของบริษัท หนึ่ง (ฎีกาที่ 2315/2537)
A2. ตามฎีกาที่ 8064/2553 และ 4182/2554 มีข้อเท็จจริงใกล้เคียงกับคำถามนี้มากที่สุด สรุปได้ดังนี้
ฎีกาที่ 8064/2553 ในการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น หามีกฎหมายบัญญัติว่า ผู้ครอบครองจะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่นหรือไม่ใช่ ทรัพย์สินของตนแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของตนเองที่รับ โอนมรดกมา แม้จำเลยเพิ่งจะทราบภายหลังว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลย เมื่อปี 2547 ก็ตามแต่เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันมาเกินกว่าสิบปีโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แล้ว โดยหาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นไม่
ฎีกาที่ 4182/2554 จำเลยครอบครองที่ดินของโจทก์โดยสำคัญผิดว่าที่ดินเป็นของจำเลย ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น และการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยจำเลยต้องรู้ว่าที่ดินเป็นที่ดินของโจทก์ด้วยไม่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ของโจทก์โดยการครอบครองแล้วได้
ดังนั้น ลุงสายัณห์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้แล้ว |
B1. เพียงแค่ จำเลยกับโจทก์ต่างโต้เถียงกันว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินเป็นเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิในที่ดิน พิพาท ถือว่าไม่มีเจตนาบุกรุก มูลกรณีจึงเป็นความรับผิดทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก (ฎีกาที่ 6303/2539, 3548/2539, 294/2537, 2264/2538)
ทนายน้อย ปราธูป ศรีกลับ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการรับร้องทุกข์ พนักงานสอบสวน มีเกณฑ์ว่า ถ้ามีการโต้แย้งกันว่า ใครมีสิทธิในที่ดินดีกว่า พนักงานสอบสวนจะไม่รับเรื่องเป็นคดีอาญา ให้ไปฟ้องกันเอง เป็นทางแพ่งก่อน ถ้าใครมีสิทธิดีกว่าตามคำพิพากษาศาลอันถึงที่สุดแล้ว ผู้มีสิทธิดีกว่า ย่อมดำเนินการกับอีกฝ่ายที่บุกรุกที่ดินโดยไม่มีสิทธิเป็นคดีอาญาได้
B2. ตามคำถาม พี่ตุ๊กตาเห็นว่า เมื่อลุงสายัณห์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้เจ้าของที่ดินมีความผิดฐานบุกรุกที่ดินของตน (ศาลต้องยกฟ้องพี่สายัณห์)
ดังนั้น ศาลต้องยกฟ้องลุงสายัณห์ ฐานบุกรุก |
(ทนายสมปราถน์ ฮั่นเจริญ ทนายอาวุโส บอกพี่ตุ๊กตาว่า คดีนี้แปลกมาก ชอบกลมาก ที่พนักงานสอบสวนถึงขนาดมีความเห็นสั่งฟ้องและอัยการฟ้องคดีนี้ต่อศาลด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้)
C1. ลุงสายัณห์ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง - เพราะกฎหมายให้สิทธิเจ้าของกรรมสิทธิในที่ดิน นำที่ดินของตนออกไปให้ผู้อื่นเช่าได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 537 "อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมี จำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น
C2. ป.พ.พ. มาตรา 1336 "เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผล แห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะ ยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบ ด้วยกฎหมาย"
ดังนั้น ศาลต้องยกฟ้องลุงสายัณห์ ฐานฉ้อโกง |
ทางออกของลุงสายัณห์ ต้องหาทนายความสู้คดีอาญา ทั้ง 3 ฐานความผิด เป็น 3 คดี และรีบดำเนินการฟ้องครอบครองปรปักษ์ (รู้ตัวว่าคู่ความอีกฝ่ายคือบริษัทหนึ่ง จึงเสนอเป็นคำฟ้องได้เลย เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาล ร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท ต่อทุนทรัพย์ 50 ล้านบาท)
ทนายป้อม พันธ์ศักดิ์ พัวพัน น.บ.ท.64 โทรมาบอกพี่ตุ๊กตาว่า คดีนี้ ทนายต้องยื่นคำร้องอนาถา หรือขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้ลุงสายัณห์ได้เลย ขนาดเงินประกันตัวยังไม่มี ศาลน่าจะอนุญาตให้ฟ้องคดีแบบอนาถาได้ เพราะกฎหมายกำหนดเพียงว่า ขณะยื่นคำร้องไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ หรือหากผู้ร้องไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแล้ว จะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ซึ่งศาลจะนัดไต่สวนคำร้องอนาถา ถ้าศาลไม่ให้ ลุงสายัณห์จะต้องขบคิดกันต่อไป
หมายเหตุ : ค่าขึ้นศาลในคดีครอบครองปรปักษ์ คิดตามราคาประเมินที่ดินทั้งแปลง ซึ่งทนายความรุ่นใหม่ สามารถขอคัดราคาประเมินได้ที่ สนง.ที่ดิน ที่ที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่
ถ้าพี่น้องประชาชนท่านใดมีปัญหา เรื่องเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน การครอบครองปรปักษ์ อยากหาที่ปรึกษาช่วยแนะนำ พี่ตุ๊กตาและทีมทนาย ThaiLawConsult ยินดีให้คำแนะนำปรึกษาค่ะ โทร.081-759-8181 numaphon@gmail.com
ก่อนออกอากาศเรื่องนี้ พี่ตุ๊กตา เคยทำคดีครอบครองปรปักษ์หลายคดี เป็นทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย บางคดีสามารถจบลงโดยแบ่งปันแบบ win-win และศาลพิพากษาตามยอมให้ พี่ตุ๊กตาขอนำฎีกาที่ 8064/2553 และ 4182/2554 มาตอบคำถามน้องเนติบัณฑิต สมัย 62 ด้านล่างนี้นะคะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8064/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1382
ในการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น หามีกฎหมายบัญญัติว่า ผู้ครอบครองจะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่นหรือไม่ใช่ ทรัพย์สินของตนแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของตนเองที่รับ โอนมรดกมา แม้จำเลยเพิ่งจะทราบภายหลังว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลย เมื่อปี 2547 ก็ตามแต่เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดิน พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันมาเกินกว่า สิบปีโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านจำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดย การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แล้ว โดยหาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นไม่
________________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอ ให้บังคับจำเลยรื้อถอนต้นไม้และสิ่งปลูสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา โดยการครอบครองห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องและให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทในกรอบเส้นสีเขียวอ่อนตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.4 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 2 งานเศษ (ที่ถูก เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา) ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อ เท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์และจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งกันฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3025 ตำบลบ้านไร่ (ชาวเหนือ) อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี โดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายใบ นายสมหวัง นางสาวสัมแป้น และนางสาวอุดม ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3024 โดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางแรม และนางริม ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือโดยมีแนวคันดินกั้นระหว่าง ที่ดินของโจทก์และจำเลย ต่อมาปี 2547 โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดิน เพื่อแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม จำเลยได้โต้แย้งคัดค้านว่า ที่ดินพิพาทในกรอบเส้นสีเขียวอ่อนตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.4 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วหรือไม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ข้อแรกในปัญหาข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยไปให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า นายโตเจ้าของที่ดินเดิมของโจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายฮวบเจ้าของที่ดิน เดิมของจำเลย แต่ไม่ได้รังวัดแบ่งแยกและยกให้ครอบครอง โดยไม่มีพยานบุคคลหรือพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบแสดงให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ทั้งในโฉนดที่ดินของจำเลยยังปรากฏว่า นายฮวบเคยนำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้แก่บุคคลอื่น จึงไม่น่าเชื่อว่านายฮวบจะมีเงินซื้อที่ดินพิพาทจากนายโต ส่วนบันทึกถ้อยคำของนางสาวส้มแป้นเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างว่านางสาวส้มแป้นได้ร่วมไปชี้แนวเขตที่ดินพิพาทและให้ถ้อยคำแก่ เจ้าพนักงานที่ดินว่าได้สอบถามญาติพี่น้องแล้วยืนยันว่า เดิมเคยมีการซื้อขายที่ดินพิพาทกัน แต่ไม่ได้รังวัดแบ่งแยก เพียงแต่ยกการครอบครองให้ทำประโยชน์จนถึงปัจจุบันนั้นไม่เป็นความจริงความ จริงนางสาวส้มแป้นไม่เคยไปชี้ระวังแนวเขตให้แก่จำเลยและไม่เคยให้ถ้อยคำตาม บันทึกถ้อยคำดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานที่ดิน ลายมือชื่อผู้ให้ถ้อยคำในบันทึกถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริง ของนางสาวส้มแป้น เป็นลายมือชื่อปลอม พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงยังเป็นที่สงสัย เอกสารหมาย ล.1 ไม่น่ารับฟังและจะนำมาใช้เป็นหลักฐานเพื่ออ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ใน ที่ดินพิพาทไม่ได้นั้น เห็นว่า ตามสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ของจำเลยสรุปได้ความว่าจำเลยกับผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมได้รับโอนมรดกที่ดินโฉนด ดังกล่าวสืบทอดต่อจากเจ้าของเดิมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2534 ครั้นต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2535 จำเลยกับพวกได้ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินดังกล่าว โดยระบุนายใบ เป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงเลขที่ดิน 105/75 ตามเอกสารหมายเลข 1 ที่แนบท้ายคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยฉบับลงวันที่ 14 ธันวาคม 2547 ซึ่งสอดคล้องกับข้อความในบันทึกถ้อยคำของนายใบเอกสารหมาย ล.4 ที่อ่านได้ความว่านายใบได้ให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดิน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2535 ว่า ได้ร่วมออกไปชี้ระวังรับรองแนวเขตที่ดินของตนโดยถือเอาแนวคันดินเป็นแนวเขต และรับรองการรังวัดว่าไม่ได้รุกล้ำแนวเขตของตนแต่อย่างใด ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่านายใบไม่เคยให้ถ้อยคำดังกล่าว และลายมือชื่อผู้ให้ถ้อยคำในบันทึกถ้อยคำดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้ จริงของนายใบแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังปรากฏว่ามีบันทึกถ้อยคำที่นางสาวส้มแป้นได้ลงลายมือชื่อในฐานะ เจ้าของที่ดินข้างเคียงเลขที่ 105/75 ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2541 รับรองแนวเขตที่ดินของจำเลยถูกต้องโดยมีแนวคันนากั้นเป็นเขตแน่นอนอยู่แล้ว ตามเอกสารแนบท้ายหนังสือสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี ฉบับลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2548 ซึ่งโจทก์และนางสาวส้มแป้นก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งบันทึกถ้อยคำดังกล่าวว่า นางสาวส้มแป้น ไม่เคยให้การหรือลงลายมือชื่อในบันทึกถ้อยคำดังกล่าวแต่อย่างใดเช่นกัน ฉะนั้น ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงฟังได้ว่า ทั้งนายใบและนางสาวส้มแป้นเคยออกไปนำชี้ระวังแนวเขตของตนในฐานะเจ้าของ ที่ดินข้างเคียงและรับรองแนวเขตที่ดินของจำเลยโดยยึดแนวคันดินตามภาพถ่าย หมาย จ.3 เป็นแนวเขตในขณะที่จำเลยขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินของจำเลยเมื่อปี 2535 มาก่อนจริง ทั้งยังได้ลงนามรับรองว่าการรังวัดครั้นนั้นถูกต้องไม่ได้รุกล้ำที่ดินของตน แต่อย่างใด ฉะนั้น แม้โจทก์และนางสาวส้มแป้นจะนำสืบภายหลังปฏิเสธว่าลายมือชื่อของนางสาวส้ม แป้นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.1 เป็นลายมือชื่อปลอม รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจฟังหักล้างข้อเท็จจริงตามบันทึกถ้อยคำที่นายใบกับนางสาวส้มแป้น ว่าเคยไปให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินและลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดิน ของจำเลยไว้ก่อนหน้านั้นตามที่กล่าวมาแล้วพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงมี น้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังว่า จำเลยสืบทอดการครอบครองที่ดินทั้งแปลงร่วมทั้งที่ดินพิพาทจากเจ้าของเดิม ตั้งแต่วันรับโอนมรดก (วันที่ 17 พฤษภาคม 2534) จนถึงวันฟ้อง (วันที่ 16 มิถุนายน 2547) นับเป็นเวลานานกว่าสิบปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1382 นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ที่ต้องเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่น ฉะนั้น จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทได้นั้น เห็นว่า ในการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นหามีกฎหมายบัญญัติว่า ผู้ครอบครองจะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่นหรือไม่ใช่ ทรัพย์สินของตนแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของตนเองที่รับ โอนมรดกมา แม้จำเลยจะเพิ่งทราบภายหลังว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลย เมื่อปี 2547 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันมาเกินกว่า สิบปีโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว โดยหาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นตามที่ โจทก์ฎีกาโต้แย้งไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามศาลให้เป็นพับ
( ประเสริฐ โอนพรัตน์วิบูล - นิยุต สุภัทรพาหิรผล - วิรุฬห์ แสงเทียน )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4182/2554
ป.พ.พ. มาตรา 1382
จำเลยครอบครองที่ดินของ โจทก์โดยสำคัญผิดว่าที่ดินเป็นของจำเลย ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น และการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยจำเลยต้องรู้ว่าที่ดินเป็นที่ดินของโจทก์ด้วยไม่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ของโจทก์โดยการครอบครองแล้วได้
________________________________
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17146 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 27254 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2544 เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสองปรากฏว่าที่ดิน ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางทิศเหนือ ไม่ได้ทับกันแต่การครอบครองของจำเลยทั้งสองได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสอง เนื้อที่ 16.6 ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนไกล่เกลี่ยแล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิด ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย กล่าวคือ มีผู้จะซื้อและนัดจดทะเบียนที่ดินของโจทก์ทั้งสองราคาตารางวาละ 10,000 บาท แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกันได้เนื่องจากจำเลยทั้งสองรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับเงิน 3,090,000 บาท โจทก์ทั้งสองขอคิดค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ที่ไม่ได้รับเงินดังกล่าว เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นเงิน 19,312 บาท ต่อเดือน หรือโจทก์ทั้งสองอาจนำที่ดินให้เช่าได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท ต่อเดือน แต่ขอคิดเพียง 10,000 บาท ต่อเดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดย ส่งมอบที่ดินเนื้อที่ 16.6 ตารางวา คืนแก่โจทก์ทั้งสองและห้ามเข้าเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เดือนละ 10,000 บาท นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบที่ดินคืน
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17146 ซึ่งเดิมเป็นของนายนิวัตร์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2534 นายนิวัตร์ให้โจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าว และเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2542 นายนิวัตร์ขายที่ดินส่วนของตนให้แก่โจทก์ทั้งสอง ที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสองโฉนดเลขที่ 27254 โดยซื้อจากนางสาวสัยรัตน์ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531 แล้วจำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวรวมทั้งที่ดิน พิพาทเนื้อที่ 16.6 ตารางวาของโจทก์ทั้งสอง โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองในที่ดินส่วนที่พิพาทโฉนดเลข ที่ 17146 เนื้อที่ 16.6 ตารางวา ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสอง (ที่ถูกโจทก์ทั้งสอง) ยื่นคำร้องขอแบ่งแยกที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองอยู่ติดกันมีเพียงต้นมะพร้าวเป็นแนว แบ่งเขต แต่หาหลักหมุดไม่พบ โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้วเพิ่งรู้ว่าจำเลย ทั้งสองครอบครองรุกล้ำแนวเขตที่ดินพิพาทเมื่อปลายปี 2544 จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารขนย้ายออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 17146 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ในส่วนที่รุกล้ำเนื้อที่ 16.6 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 1,500 บาท นับตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายออกจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 17146 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินพิพาทเนื้อที่ 16.6 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขออื่นตามฟ้องแย้งให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุผลสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏ ว่าเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2551 จำเลยทั้งสองยื่นคำแก้ฎีกา และคำร้องขออนุญาตยื่นคำแก้ฎีกาอ้างเหตุว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้อาศัยอยู่ที่ภูมิลำเนาตามคำให้การและฟ้องแย้งเนื่องจาก จำเลยที่ 2 รับราชการอยู่จังหวัดสุรินทร์ จำเลยทั้งสองจึงไปอยู่ประจำด้วยกันที่จังหวัดสุรินทร์โดยปิดบ้านไว้ไม่มีคน เฝ้า นานๆจะกลับสักครั้ง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2541 ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์จำเลยทั้งสองกลับบ้านและเพิ่งได้รับหมายนัดและ สำเนาฎีกาในวันดังกล่าว มิได้จงใจไม่ยื่นคำแก้ฎีกาภายในกำหนด ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องพร้อมสำเนาคำแก้ฎีกาแก่โจทก์ทั้งสองโดยวิธีปิดหมาย แล้ว ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นให้รวบรวมสำนวนส่งศาลฎีกาโดยไม่ได้สั่งคำร้องขออนุญาตยื่นคำแก้ ฎีกาและคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ดังนั้นศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยสั่งคำร้องและคำแก้ฎีกาดังกล่าวไปโดยไม่จำ ต้องย้อนสำนวน เห็นว่า เจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาของโจทก์ทั้งสองไปยังภูมิลำเนาของ จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นแห่งเดียวกับที่ใช้ในคำให้การและฟ้องแย้ง และที่ใช้ในชั้นอุทธรณ์โดยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว หากจำเลยทั้งสองย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่น ย่อมต้องแจ้งต่อศาลเพื่อให้ส่งหมายยังภูมิลำเนาแห่งใหม่ แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้แจ้ง แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีความประสงค์ให้ส่งหมายหรือเอกสารไปยังภูมิลำเนาตามคำ ให้การและฟ้องแย้ง ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าไปอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ไม่ทราบเรื่องการส่งหมายนัด และสำเนาฎีกาเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยทั้งสอง ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 จึงไม่รับคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสองแต่ให้รับเป็นคำแถลงการณ์
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองและที่ดินของจำเลยทั้งสองอยู่ติดกัน ที่ดินพิพาทแนวเส้นสีแดงเนื้อที่ 16.6 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยติดต่อกันเป็น เวลากว่า 10 ปีแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531 จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 27254 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จากนางสาวสัยรัตน์ ในสภาพมีรั้วล้อมรอบและถมดินสูงกว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองแล้วจำเลยทั้งสอง ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยเป็นเวลา เกินกว่า 10 ปี ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โดยเข้าใจว่าเป็นของจำเลยทั้งสอง ด้วยการปลูกต้นมะพร้าวตามแนวรั้วที่รุกล้ำตามภาพถ่ายหมาย ล.3 และแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 โดยไม่เคยรังวัดตรวจสอบแนวที่ดินเพราะเป็นการซื้อทั้งแปลง แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองดำเนินการรังวัดจึงทราบว่าแนวรั้วกับต้นมะพร้าวรุกล้ำ ที่ดินของโจทก์ทั้งสองเนื้อที่ 16.6 ตารางวา หากจำเลยทั้งสองรู้ว่าแนวรั้วรุกล้ำที่ดดินพิพาทจำเลยทั้งสองก็จะไม่ซื้อ จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวแสดงถึงเจตนาอันแท้จริงของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาจะครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งล้อมรั้วรวมเป็นแปลงเดียวกับ ที่ดินของจำเลยทั้งสองอย่างเป็นเจ้าของ เมื่อได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แม้จำเลยทั้งสองจะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินของจำเลยทั้งสองเอง หากแต่ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น ดังนี้ จำเลยทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยจำเลยทั้งสองต้องรู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของ โจทก์ทั้งสองด้วยไม่ และโจทก์ทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ทั้งสองอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
( ประพันธ์ ทรัพย์แสง - ไมตรี ศรีอรุณ - ชำนาญ รวิวรรณพงษ์ )
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ThaiLawConsult นำมาจากระบบสืบค้นคำพิพากษา วันที่ 20-04-2556